จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ทั้งภายในและภายนอกองค์การ ทำให้องค์ความรู้ด้านการวางแผนมีพัฒนาการเป็นระยะๆ ในที่นี้ ผู้เขียนขอแบ่งมุมมองของการวางแผนตาม 3 มุมมอง คือ มุมมองด้านวิธีการวางแผน มุมมองด้านเทคนิคการวางแผน และมุมมองด้านผู้รับผิดชอบการวางแผน
มุมมองด้านวิธีการวางแผน การวางแผนสามารถแบ่งได้ตามวิธีการวางแผนซึ่งมีความแตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา ดังเช่นวัฒนา พัฒนพงศ์ (2548) ได้แบ่งการวางแผนในประเทศไทยเป็น 3 ยุค ได้แก่ ยุคต้น (ระหว่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1-7) การวางแผนในยุคนี้เป็นวิธีการจัดทำแผนนิยมให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้จัดทำ ทีมงานในการจัดทำแผนของหน่วยงานจะทำหน้าที่คอยประสานงานมากกว่าทำหน้าที่ นักวางแผน บทบาทในการวางแผนมอบให้ผู้เชี่ยวชาญภายนอกและการจัดประชุมสัมมนาร่วมกันของผู้เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนยังมีน้อยมาก ยุคกลาง (ระหว่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8-9)วิธีการจัดทำแผนนิยมทำในรูปของทีมงาน บทบาทของผู้เชี่ยวชาญในความรับผิดชอบต่อการจัดทำแผนไม่ชัดเจนเหมือนยุคต้น ทั้งนี้ เพราะทีมงานฝ่ายแผนเริ่มมีบทบาทมากขึ้นการจัดทำแผนมีการจัดทำในรูปการประชุมร่วมกันทำงานเป็นทีม บางหน่วยงานมีการประชุมสัมมนาร่วมของตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนร่วมกัน ยุคเปลี่ยนแปลง (เริ่มต้นจากในช่วงกระแสการจัดทำตัวชี้วัดผลการดำเนินงาน (KPI) และดัชนีวัดความสำเร็จแบบสมดุล (BSC) ประมาณปี พ.ศ. 2544 เป็นต้นมา) รูปแบบของการจัดทำแผนได้เปลี่ยนแปลงจากการทำแผนโดยทีมงานมาเป็นการจัดทำแผนในที่ประชุมของผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลักษณะของการจัดทำแผนในยุคนี้ บทบาทในการจัดทำแผนขึ้นอยู่กับทุกคนที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่การมอบอำนาจการตัดสินใจให้คนใดคนหนึ่ง หากแต่เป็นการตัดสินใจร่วมกันในที่ประชุมสัมมนา การจัดทำแผนในยุคนี้มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของคนในองค์กร
มุมมองด้านเทคนิคการวางแผน พัฒนาการการวางแผนสามารถแบ่งได้เทคนิคการวางแผน ซึ่งอุทิศ ขาวเธียร (2549) ได้แบ่งการวางแผนในประเทศไทย เป็น 4 ยุค ได้แก่ 1) การวางแผนเฉพาะสาขา (Sectoral Planning) หมายถึง การวางแผนแบบแยกตามรายสาขา โดยจะเน้นการวิเคราะห์ปัญหาและการแก้ไขปัญหานั้นๆโดยใช้เทคนิควิทยาการของแต่ละสาขา การวางแผนในลักษณะนี้มีจุดอ่อน คือ ก่อให้เกิดผลกระทบข้างเคียงที่เป็นปัญหาแก่สาขาการพัฒนาด้านอื่นอันเป็นการพัฒนาแบบได้อย่างเสียอย่าง 2) การวางแผนแบบสหสาขา (Inter-Sectoral Planning) หมายถึง การวางแผนแบบเสริมประสานงานระหว่างสาขาเพื่อป้องกันหรือทำให้ลดการเกิดผลกระทบข้างเคียงจากการวางแผนเฉพาะสาขา แต่การวางแผนแบบสหสาขามีจุดเน้นการปรับเปลี่ยนไปสู่การพัฒนาเพื่อขยายผลผลิต โดยมองข้ามความสำคัญของการพัฒนาด้านคุณภาพชีวิตและวิถีชีวิตที่ดี จึงถูกกล่าวหาว่าไม่ก่อให้เกิดความสมดุลของการพัฒนา และเป็นการวางแผนที่เกิดผลแก่กลุ่มผลประโยชน์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่การวางแผนที่จะก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างสมดุลแท้จริง 3) การวางแผนแบบสมบูรณ์แบบ (Comprehensive Planning) หมายถึง การวางแผนที่มุ่งศึกษาวิเคราะห์อย่างครบวงจรของการพัฒนาทุกสาขาควบคู่กัน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และการบริหารจัดการ โดยมุ่งหวังจะขจัดปัญหาทั้งผลกระทบข้างเคียงระหว่างการพัฒนาให้หมด และหวังให้มีระบบการพัฒนาที่สมดุลทุกด้าน และอย่างสอดคล้องระดับนโยบายและระดับปฏิบัติการ เป็นการแก้ไขปัญหาโดยการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมการพัฒนาทั้งหมดทุกด้าน และโดยพยายามรวบรวมข้อมูลอย่างครบวงจร ให้ทราบโครงสร้างปัญหาทั้งเหตุและผลของสถานการณ์ทั้งหมดทุกด้าน และพยายามพัฒนาเทคนิคการคาดการณ์ที่สมบูรณ์แบบ แต่มีความซับซ้อนและเป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ และขั้นตอนการวางแผนใช้เวลารวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์คาดการณ์มาก ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของยุคโลกาภิวัตน์ นอกจากนี้ ข้อมูลของประเทศกำลังพัฒนายังขาดประสิทธิภาพและเพิ่ม ความยุ่งยากแก่การวางแผนแบบครบวงจร กระทั่งนักวางแผนส่วนใหญ่ต้องยอมรับว่า การวางแผนครบวงจรเป็นไปได้เฉพาะในทางทฤษฎีเท่านั้น 4) การวางแผนกลยุทธ์ (Strategic Planning) หมายถึง การวางแผนที่สามารถแปลงแผนสู่การปฏิบัติได้อย่างทันยุคโลกาภิวัตน์โดยเทคนิคนี้ไม่เน้นการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างครบวงจร แต่เลือกวิเคราะห์ข้อมูลเฉพาะกับสภาวะที่มีนัยสำคัญเชิงกลยุทธ์ที่องค์กรต้องเผชิญหากจะเร่งรัดพัฒนาไปสู่เป้าหมายที่กำหนดเท่านั้น ภาคเอกชนเป็นผู้นำเทคนิคนี้จากภาคทหารมาใช้เพื่อการแข่งขันทางธุรกิจ และได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเทคนิคดังกล่าวสามารถสร้างเครื่องมือชี้แนะแก่การบริหารที่เผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ ดังนั้น นักวิชาการวางแผนของรัฐจึงได้พิจารณาประยุกต์ใช้กับการบริหารจัดการพัฒนาของประเทศ และพบว่าแผนกลยุทธ์จะสามารถประยุกต์ใช้เพื่อการบริหารจัดการของภาครัฐได้เกือบทุกระดับทั้งแผนระดับชาติ แผนกระทรวง กรม และท้องถิ่น
มุมมองด้านผู้รับผิดชอบการวางแผน สุรัสวดี ราชกุลชัย (2547 : 116-117) กล่าวถึงผู้รับผิดชอบการวางแผน 3 ยุค ได้แก่ ยุคดั้งเดิม (Traditional Approach) ในยุคดั้งเดิม การวางแผนเป็นหน้าที่และอยู่ในความรับผิดชอบของผู้บริหารระดับสูง ที่ปรึกษา หรือฝ่ายวางแผนส่วนกลาง (Central Planning Department) ที่ปรึกษาด้านการวางแผนหรือผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้จะถูกว่าจ้างเพื่อรวบรวมข้อมูลและพัฒนาเสนอแผนกลยุทธ์เพื่อภาพรวมขององค์การและได้รับการอนุมัติจากผู้บริหารระดับสูง อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้เชี่ยวชาญนักวางแผนเหล่านี้สัมผัสข้อมูลจากผู้บริหารระดับกลางหรือระดับต้น โดยไม่ได้สัมผัสลูกค้าหรือผู้จัดหาที่แท้จริงปัญหานี้เป็นเหตุให้ต้องทำการกระจายการวางแผนสู่แผนกหรือฝ่ายงานต่างๆลงบ้างจนเกิดเป็นแนวคิดยุคที่ 2 ยุคสมัยใหม่ (Modern Approach) การวางแผนกระจายจากส่วนกลางออกไปสู่ส่วนงานต่างๆ (Decentralized Panning Staff) ถือเป็นวิวัฒนาการจากการมอบหมายผู้เชี่ยวชาญการวางแผนจากส่วนกลางไปยังแผนก หรือฝ่ายหลักๆ เพื่อช่วยให้ผู้บริหารระดับกลางและระดับต้นพัฒนาแผนกลยุทธ์ได้ชัดเจน ตรงตามความต้องการของลูกค้ามากกว่า และยังลดความขัดแย้งระหว่างนักวางแผนกับพนักงานแต่ละระดับอีกด้วย ยุคปัจจุบันและอนาคต (New Paradigm Approach) ปัจจุบันจากการวางแผนโดยส่วนงานใดส่วนงานหนึ่ง เริ่มเปลี่ยนแนวคิดสู่การวางแผนโดยทุกคนทุกระดับในองค์การ แนวคิดใหม่เช่นนี้ทำให้ผู้บริหารระดับต้นและนักวางแผนกลายเป็นผู้อำนวยความสะดวกและผู้สนับสนุน พนักงานเป็นผู้พัฒนาแผนที่มีพลวัตเคลื่อนไหวโดยกำหนดให้บรรลุผลตามความต้องการขององค์การ ดังนั้น การคิดอย่างเป็นระบบและการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพนักงานทุกคน
ดังนั้น กล่าวโดยสรุปได้ว่า ในอดีตผู้จัดทำแผน คือ ที่ปรึกษา ผู้บริหารระดับสูง นักวิชาการด้านการวางแผน หน่วยงานด้านการวางแผนในองค์การ เช่น สำนักนโยบายและแผน กองแผนงาน เป็นต้น โดยขาดการมีส่วนร่วมจากบุคลากรในองค์การ และการวางแผนมีลักษณะแยกส่วนเฉพาะด้าน ไม่ค่อยคำนึงถึงสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกองค์การ ซึ่งทำให้การนำแผนไปสู่การปฏิบัติประสบปัญหาขาดความร่วมมือจากบุคลากรในองค์การ และแผนไม่สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ การวางแผนในปัจจุบันจึงผได้เข้าสู่ยุคของการเปลี่ยนแปลงในรูปของการจัดทำแผนกลยุทธ์หรือแผนยุทธศาสตร์ขององค์การ ซึ่งมีการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมหรือสถานการณ์ภายในและภายนอกองค์การเพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินงานขององค์การ โดยให้ความสำคัญกับการมีส่วนรวมของบุคลากรทั้งในระดับบริหารและผู้ปฏิบัติงาน รวมทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกลุ่มต่างๆมากขึ้น เพื่อให้แผนที่จัดทำขึ้นตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง มีความคล่องตัว และได้รับความร่วมมือจากบุคลากรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการผลักดันแผนสู่การปฏิบัติ
สุรัสวดี ราชกุลชัย. (2547). การวางแผนและการควบคุมทางการบริหาร. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.
วัฒนา พัฒนพงศ์ (2548) “แผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการ : นวัตกรรมการจัดทำแผนสำหรับ
หน่วยงานราชการไทย” วารสารพัฒนาบริหารศาสตร์ ปีที่45 ฉบับที่2/2548
อุทิศ ขาวเธียร (2549) การวางแผนกลยุทธ์ กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย