การเดินทางท่องเที่ยว เป็นเป้าหมายชีวิตอันดับที่ 8 ของเป้าหมายชีวิตมนุษย์ตามที่ได้กล่าวไว้ในบทความก่อน เรื่อง”ส่องเป้าหมายชีวิตอเมริกันชน” แต่ในทัศนะของผู้เขียนการเดินทางท่องเที่ยวเป็นเรื่องที่ชื่นชอบและจัดเป็นเป้าหมายชีวิตในอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว
ก่อนการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า ลักษณะงานตามอาชีพของผู้เขียนซึ่งเป็นอาจารย์ในระบบการสอนทางไกลก็มีการเดินทางบ่อย แม้จะเป็นการเดินทางเพื่อไปทำงานในต่างจังหวัดในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย รวมทั้งการเดินทางไปร่มประชุมสัมมนาและศึกษาดูงานในต่างประเทศแต่ภารกิจเหล่านั้นก็ยังเปิดโอกาสให้ได้ท่องเที่ยวและได้ทำกิจกรรม”ช้อบ ชม ชิม”อยู่เป็นเนืองิตย์ หากแต่เรื่องโศกเศร้าสูญเสียของครอบครัวในเดือนสิงหาคม ปี2564 กอปรกับภาระการจัดการสอนในภาค 1/2564 ที่ได้เปลี่ยนแปลงเป็นการสอนออนไลน์เต็มระบบทำให้ไม่มีเวลาสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวไปเกือบปี จวบจนปลายเดือนมกราคม 2565 เมื่อภารกิจการสอนจบภาคเรียนลงจึงได้กลับมาเดินทางท่องเที่ยวอีกคราหนึ่ง
การเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้ได้ลาพักผ่อนอย่างเป็นทางการ 5 วัน เหตุผลสำคัญเพื่อ “พักกาย พักใจ” การเดินทางครั้งนี้ไปกับกลุ่มเพื่อนที่มีชื่อว่า 210 ทัวร์ เลข 210 เป็นเลขที่ห้องเรียนระดับมัธยมปลายสายวิทยาศาสตร์ ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พญาไท ที่อาคารอรชร2 ห้องท้ายสุด เมื่อปี พ.ศ. 2518 นับจากปีนั้นถึงปีนี้ก็ 46 ปีแล้ว ต้องขอบคุณความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ICT ที่ทำให้เราหากันเจอ ได้มีโอกาสหวนกลับมามีสายสัมพันธ์ที่ดีงามและมีกิจกรรมท่องเที่ยวร่วมกันนับแต่ปี 2562 ที่พวกเราส่วนใหญ่เกษียณจากงานประจำทำให้เกิดการรวมกลุ่มเดินทางท่องเที่ยวร่วมกัน
การเดินทางท่องเที่ยวในช่วงที่มีสถานการณ์COVID 19 ถูกจำกัดในเรื่องการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่ก็ได้รับสิทธิจากโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศจากรัฐบาลภายใต้ชื่อ “สิทธิเราเที่ยวด้วยกัน” ซึ่งให้สิทธิลดค่าต๋วเครื่องบินและที่พัก 40% และคูปองค่าอาหารห้องละ 600 บาทต่อคืน เพื่อนในกลุ่มทัวร์นี้มี อดีตนายด่านศุลการกรแม่สาย เป็น Tour Leaderโดยมีนักบัญชีระดับผอ.ฝ่ายและผู้บริหารกิจการอีกสองท่านเป็นที่ปรึกษา ดังนั้นประสิทธิภาพประสิทธิผลของโครงการทัวร์จึงเกินร้อยมานานกว่าสองปีแล้ว
จุดหมายการเดินทางครั้งนี้อยู่ที่ “เชึยงของ-เชียงแสน; เมืองท่าลุ่มน้ำโขงตอนบน และสามเหลี่ยมทองคำ” พอประกาศจุดหมายไปปรากฏว่าสมาชิกชายของกลุ่มขอลากิจกันหมดเพราะคิดว่าทริปนี้คงเน้น ท่องเที่วเชิงวัฒนธรรม เข้าวัดกันเท่านั้น ทำให้สมาชิกที่ร่วมเดินทางเป็นหญิงล้วน 8 นาง บรรยากาศการท่องเที่ยวน่าสนใจขึ้นมาทันที เพราะเรื่องกินเรื่องช้อปเลิศด้วยกันทั่งน้านนนนน……
การเดินทางวันแรก ออกเดินทางจากดอนเมืองด้วยนกแอร์ ไฟท์ DD100 ถึงเชียงรายประมาณ 9 โมงเช้า อากาศภาคพื้นดิน 16 องศาเซลเซียส ออกจากสนามบินมุ่งหน้าสู่เชียงของโดยรถตู้ปรับอากาศ ระหว่างทางแวะร้านก๋วยจั้บต้มเลือดหมู เจ้าดัง กินสมฐานะอย่างพวกเราเพราะหมูกำลังแพง จากนั้นก็ไปพิพิธภัณฑ์ลื้อลายคำ รับประทานอาหารกลางวันที่ร้านไทยแปน จากนั้นไปวัดพระแก้วที่เคยเป็นวัดที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตพักหนึ่งก่อนไปอยู่สปป.ลาวช่วงย์นเข้าที่พักที่ภูหมอกรีสอร์ทก่อนออกไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่เนิน 102 ป่าหิน ดอยผาตั้ง ภาพพระอาทิตย์ตกดินลับเหลี่ยมเขางดงามมาก กลับลงมาแวะซื้อของฝากร้านเจ้แดง
ได้อัลมอนด์อบเนย สตอเบอรีแห้ง และบ๊อยแห้งมาคนละโลสองโล แวะทานอาหารยูนานที่ภัตตาคารก่อนกลับที่พัก อากาศหนาวเกินคาดรีสอร์ทที่พักเป็นแบบบังกาโลปุนเปลือยสไตล์โมเดิล หนาวมากมีต้นนางพญาเสือโคร่งให้ชมหลายต้นดอกร่วงไปเกือบหมดเพราะเจอฝนตกเมื่อสองสามวันก่อน แต่ก็เหลือติดต้นบ้างให้ได้พอถ่ายภาพเป็นที่ระลีก
วันที่สอง สืบเนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นพวกป้าป้าเลยพร้อมใจกันยกเลิกโปรแกรมการไปชมพระอาทิตย์ขี้นและทะเลหมอกที่เนิน 104 เริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยอาหารเช้าจากทางรีสอร์ทซึ่งมีนักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มเราเท่านั้น อาหารเช้าเป็นเพียงข้าวต้มกับข้าวมีเพียงไข่เจียว ผัดผักรวม กระหล่ำปลี แครอทและต้นหอมญี่ปุ่น และกุนเชียงทอด มีปาท่องโก๋ตัวยาวมาด้วย เครื่องดื่มเป็นชา กาแฟตามอัธยาศัย พวกเราเห็นผักก็ดีใจผัดง่าย ๆ แต่อร่อยแถมบริกรใจดีบอกว่าเติมผัดผักได้ไม่อั้นเพราะทางรีสอร์ทปลูกเอง แถมมีผักวางขายด้วย แต่เรายังเดินทางอีกหลายวันเยไม่ได้อุดหนุนกลับมา โต๊ะที่เราชุดแรกทานอาหารเพลิดเพลินกับมื้อเช้าโดยไม่มีใครได้กินน้ำเต้าหู้กันเลย เสร็จจากกินข้าวก็เก็บภาพเป็นหลักฐานแล้วขึ้นไปพักผ่อนเก็บข้าวของ ให้อีกชุดลงไปทานข้าวเช้ากันบ้างเพื่อนชุดหลังนี้พบว่ามีน้ำเต้าหู้อีกหนึ่งกระติกที่เขาชงไว้ให้กินกับปาท่องโก๋ พวกนั้นกินกันเต็มที่แถมกรอกใส่ขวดไปเติมพลังกันต่อช่วงกลางวัน เพรารายการท่องเที่ยวหลักวันนี้คณะของเราจะไปขึ้นภูชี้เดือนกันเพราะได้รับคำแนะนำว่าขึ้นสะดวกและเห็นทัศนียภาพครบทั้งสามภูคือ ภูชีฟ้า ชี้เดือน และชี้ดาว วันนี้เป็นวันอังคาร ไม่มีนักท่องเที่ยวขึ้นภู
ที่จุดเช่ารถขึ้นภูมีเพียงกระบะคันเดียวที่เดิมมีชาวบ้านจะขึ้นไปพัฒนาภูกันอยู่โชคดีที่พวกเราไปทัน รถคันนั้นจึงรับจ้างพาเราขึ้นภูโดยขอให้ชาวบ้านติดรถไปด้วย แต่ชาวบ้านพวกนั้นเกรงใจป้าป้าเลยแค่ฝากของขึ้นไปโดยพวกเขาซ้อนมอเตอร์ไซด์ขึ้นกันไปเอง รถมาส่งให้ที่จุดจอดรถ ถ่ายภาพกับภูชี้ฟ้า และภูชี้ดาว แต่ทิศทางแสงไม่ได้จึงได้เพียงภาพจากภูชี้ฟ้าเป็นหลัก จากนั้นเดินต่อไปขึ้นภูชี้เดือน ไปเก็บภาพกันอีกชุด ได้ยืนบนสันปันน้ำบนเนินเขาที่เคยเป็นเส้นกั้นอาณาเขตไทย – ลาว เดิมก่อนเปลี่ยนไปใช้ลำน้ำโขงแทน
โชเฟอร์รถปิคอัพรับตำแหน่งไกด์และถ่ายภาพให้พวกป้าป้าอย่างมากฝีมือ ผู้เขียนได้ภาพสัมผัสยอดภูมาด้วย น่าประทับใจจริงๆ ลงจากภูมาเข้าเมืองเชียงของก็บ่ายโมงแวะรับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคารริมโขงที่เข้าโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เพราะเรามีคูปองที่พักมาถึงสองพันสี่ร้อยที่ต้องใช้ให้หมดก่อนเที่ยงคืน อาหารรสชาติเยี่ยมอีกมื้อ หลังอาหารก็ไปนมัสการศาสหลักเมืองเชียงของ ไปวัดหลวงแล้วก็เข้าที่พักที่โรงแรมแกรนด์ ฟอร์จูนได้เห็นทัศนียภาพแม่น้ำโขงและเมืองท่าฝั่งสปป.ลาวแบบเต็มร้อย ถนนฝั่งไทยเลียบแม่น้ำโขงได้รับการพัฒนาอย่างดีมีช่องทางจักรยานและช่องทางวิ่งเดินเลียบแม่น้ำยาวหลายกิโลเมตรและมีการตกแต่งจัดสวนอย่างสวยงามบริเวณที่ติดกับแม่น้ำโขงด้วย วันนี้เราตกลงทานมื้อค่ำกันที่โรงแรมเพื่อดื่มดำกับบรรยากาศริมโขงที่สวยงาม
วันที่สาม เริ่มต้นด้วยอาหารเช้าแบบบุฟฟ่ที่โรงแรมที่พักซึ่งเป็นโรงแรมขนาดใหญ่มีห้องพักกว่าสี่ร้อยห้อง ห้องนอนหรูหราห้าดาวมีหลายอาคาร เราเลือกห้องวิวติดแม่น้ำโขงทำให้สามารถเปิดม่านนอนชมแม่น้ำได้ตลอดคืนทีเดียว อาหารเช้าที่โรงแรมก็ดีมากเหมือนอาหารค่ำที่ผ่านมาหลังจากออกจากโรงแรมเราก็ไปวัดสบสมที่มีงานบุญสืบชะตา ไปชมแหล่งเพาะพันธุ์ปลาบึกแห่งแรกของไทย ไปศาลพญาแก้ว ก่อนที่จะเดินทางไปสะพานมิตรภาพไทย- ลาวแห่งที่ 5 สถานการณ์ปิดประเทศทำให้คณะเราได้ไปขออนุญาตด่านศุลกากรและด่านตมไปชมแค่กึ่งกลางสะพานเท่านั้น ช่วงเวลาที่อยู่บนสะพานสังเกตเห็นว่าฝั่งสปป.ลาวมีตึกรามบ้านช่องและบ่อนคาสิโนมากมาย และมีรถคอนเทนเนอร์วิ่งจากลาวเข้าไทยจำนวนมากส่วนใหญ่ขนสินค้าจากจีนเข้าไทย
ส่วนด้านแม่น้ำโขงตอนนี้น้ำลด บรรยากาศการข้ามฝากเงียบเหงาสุด ๆ ได้แต่ภาวนาให้โควิดผ่านพ้นไปเสียที ลงจากสะพานแวะทานกลางวันร้านข้าวมันไก่และบะหมี่ไหหนำในตำนานของเมืองเชียงของ ทานเสร็จก็เดินทางไปซื้อส้มที่ห้วยเม็งเตรียมส่งมาไหว้ตรุษจีนกันล่วงหน้า ซื้อเสร็จกลับเข้าเมืองมาส่งส้มที่บริษัทขนส่งซื่งกิจการประเภทนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคนิวนอมอลนี้
หลังจากนั้นก็เดินทางแบบยาว ๆ ไปเชียงแสน แวะนมัสการพระบรมสารีริกธาตุที่วัดพระธาตุผาเงา เยี่ยมชมพระอุโบสถหลังใหม่ที่ทำพิธีสวดสืบชะตาให้เจ้าคุณพระ ชมพระอุโบสถเรือนไม้สักทองแล้วออกเดินทางไปวัดเทพนิมิตร เพื่อนมีสการพระพรหมวชิรคุณ (หลวงพ่อไพบูลย์) คณะพวกเราเดินทางมาถึงก็เย็นมากแล้วเลยยังไม่มีโอกาศเข้ากราบนมัสการ คงเป็นโอกาสหน้าให้เดินทางกันมาใหม่อีกเป็นแน่ จากนั้นก็เดินทางเข้าที่พักที่ จินแม่โขงรีสอร์ทแนด์สปา โรงแรมเล็ก ๆ สไตล์บูติคที่อยู่ติดแม่โขง อาหารค่ำเป็นที่ภัตตาคารเม็งราย ได้เห็นป้าป้าทำท่าวัยรุ่นเชียร์นักร้องขอเพลงกันอย่างสนุกสนานด้วย
วันที่สี่ หลังอาหารเช้าเดินทางไปวัดพระธาตุจอมกิตติ เมืองโบราณเชียงแสน วัดมหาธาตุ วัดเจดีย์หลวง และวัดพระธาตุภูเข้า เชียงแสนมีวัดมากและอยู่ใกล้ ๆ กันจากนั้นก็เดินทางไปร้านอาหารกลางวันคือร้านชีวิตธรรมดา (ซะทีไหน) เพื่อใช้คูปองอาหารให้หมดแต่กลับพบว่าต้องลงขันเพิ่มเพราะป้าป้าก็ไม่ธรรมดานั่นเอง หลังจากนั้นไปส่งสองป้าที่สนามบิน ป้าที่เหลืออีกห้ารวมผู้เขียนด้วยจึงได้ของแถมไปเยี่ยมชมวัดห้วยปลากั้งและวัดร่องเสือเต้น (วัดสีน้ำเงิน) ก่อนเดินทางกลับด้วยไฟลท์แอร์เอเซียกลับสู่ดอนเมืองโดยสวัสดิภาพ