รองศาสตราจารย์ ดร.กัลยานี ภาคอัต
ในบางสถานการณ์ที่ยังไม่เอื้ออำนวยต่อการลงทุน นักลงทุนจะมองหาช่องทางในการนำเงินไปแสวงหาผลประโยชน์ในระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการวางเงินไว้ในบัญชีออมทรัพย์ซึ่งได้รับดอกเบี้ยค่อยน้อยได้อย่างไร แล้วจะนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดที่ให้ผลตอบที่สูงกว่าการวางเงินไว้ในบัญชีออมทรัพย์ บทความนี้จะแนะนำช่องทางการลงทุนในระยะสั้นสองประเภทคือการลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund : MMF) และกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น (Short – Term Fixed Income Fund : FIF)
ช่องทางการลงทุนที่นักลงทุนรู้จักกันดีคือ กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund : MMF) หรือที่เรียกว่า เอ็มเอ็มเอฟ เป็นกองทุนรวมที่จัดได้ว่ามีความเสี่ยงในระดับที่ต่ำ โดยมีนโยบายลงทุนหลักในพันธบัตรรัฐบาล หรือตราสารหนี้อายุสั้นที่มีอายุไม่เกิน 1 ปี วิธีการซื้อขายกองทุนสามารถกระทำได้ทุกวันทำการ และกองทุนนี้มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 1.0% – 1.4% ต่อปี ในกรณีที่นักลงทุนขายกองทุน MMF จะได้รับเงินคืนในวันทำการถัดไป หรือ T+1 ซึ่งสภาพคล่องของกองทุนนี้จะใกล้เคียงกับเงินฝากออมทรัพย์
อีกช่องทางหนึ่งที่นักลงทุนนิยมเลือกลงทุนคือ กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น (Short – Term Fixed Income Fund : FIF) เป็นอีกหนึ่งกองทุนรวมที่มีระดับความเสี่ยงในระดับต่ำ กองทุนนี้มีนโยบายลงทุนหลักในตราสารหนี้ประเภทต่างๆ ทั้งพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ภาคเอกชน โดยกองทุนนี้จะให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอในรูปของดอกเบี้ย โดยเฉลี่ยผลตอบแทนของกองทุนนี้จะรับผลจากความผันผวนที่น้อย อย่งไรก็ตามการลงทุนในกองทุนย่อมมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนซึ่งประกอบด้วย 1) ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการบริหารเงินลงทุนจะอยู่ราวๆ 0.5 – 0.6% 2) ค่าธรรมเนียมผู้ดูแลผลประโยชน์ (Trustee Fee) เป็นค่าใช้จ่ายในการเป็นตัวแทนในการดูแลทรัพย์สินของกองทุนให้แก่ผู้ลงทุน อยู่ประมาณ 0.1% และ 3) ค่าธรรมเนียมนายทะเบียน (Registrar Fee) เป็นค่าบริหารจัดการเกี่ยวกับงานทะเบียนของผู้ถือหน่วยลงทุนอยู่ประมาณ 0.05% ดังนั้น นักลงทุนนอกจากคำนึงถึงความปลอดภัยในเงินต้นแล้ว ยังต้องคำนึงถึงต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายในการลงทุนด้วย