บทความโดย ผศ.ดร.สุปัญญดา สุนทรนนธ์ สาขาวิชาวิทยาการจัดการ มสธ.
ธุรกิจ Start Up หมายถึง ธุรกิจใหม่ที่อยู่ในระยะเริ่มต้น โดยมักเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ เพื่อแก้ปัญหาหรือเติมเต็มความต้องการในตลาดที่ยังไม่ถูกตอบสนอง ธุรกิจประเภทนี้มักมีเป้าหมายในการเติบโตอย่างรวดเร็วและสามารถขยายตลาดได้ในระยะเวลาอันสั้น สำหรับที่มาของคำว่า “Start Up” เริ่มต้นจากบทบาทของนักธุรกิจที่ต้องการสร้างธุรกิจใหม่ในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะในช่วงปี 1990 เมื่อเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน การเริ่มต้นธุรกิจด้วยแนวคิดใหม่และการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยกลายเป็นที่นิยมมากขึ้น ทำให้เกิดการสร้างธุรกิจใหม่จำนวนมาก ธุรกิจ Start Up มักต้องการการระดมทุนจากนักลงทุนเพื่อการพัฒนาและขยายตัว ซึ่งทำให้เกิดการดึงดูดนักลงทุนและผู้สนใจในเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ และสร้างสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและโอกาส.
สำหรับ 5 ลักษณะเฉพาะของธุรกิจ Start Up ประกอบไปด้วย:
1.นวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์: ธุรกิจ Start Up มักมีแนวคิดหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ที่แตกต่างจากตลาดเดิม โดยมุ่งเน้นที่การสร้างนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาหรือเติมเต็มความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง
2.การเติบโตอย่างรวดเร็ว: ธุรกิจ Start Up มักมีเป้าหมายในการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมักจะใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อขยายตลาดและลูกค้าในระยะเวลาสั้น
3.ความเสี่ยงสูงและความไม่แน่นอน: ธุรกิจ Start Up มักมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและอาจต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนเกี่ยวกับตลาด การเงิน และการดำเนินงาน
4.การใช้เทคโนโลยี: ธุรกิจ Start Up มักใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการ และมักมีโมเดลธุรกิจที่พึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัล
5.การระดมทุนจากนักลงทุน: ธุรกิจ Start Up มักต้องการเงินทุนเพื่อการดำเนินงานและการขยายตัว โดยมักจะต้องระดมทุนจากนักลงทุนหรือเงินทุนจากแหล่งต่าง ๆ เช่น การร่วมลงทุน (Venture Capital) หรือการระดมทุนจากสาธารณะ
กล่าวโดยสรุป คือ 5 ลักษณะเหล่านี้ทำให้ธุรกิจ Start Up มีความแตกต่างจากธุรกิจขนาดใหญ่และทำให้มีความท้าทายและโอกาสที่น่าสนใจในตลาด.
สำหรับในประเทศไทย เป็นที่ยอมรับการโดยทั่วไปว่าธุรกิจ Start Up มีความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมธุรกิจ Start Up เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและนวัตกรรมของประเทศ โดยมีนโยบายและแนวทางการสนับสนุนที่สำคัญ 9 ประการ ดังนี้:
1.การจัดตั้งกองทุนสนับสนุน: รัฐบาลได้จัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนเพื่อสนับสนุนธุรกิจ Start Up โดยเฉพาะ เช่น กองทุน Startup Thailand ที่มีวงเงินหลายพันล้านบาท เพื่อช่วยเหลือด้านเงินทุนในระยะเริ่มต้น
2.สิทธิประโยชน์ทางภาษี: มีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ธุรกิจ Start Up และนักลงทุน เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 5-8 ปี และการลดหย่อนภาษีสำหรับนักลงทุนที่ลงทุนใน Start Up
3.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน: รัฐบาลส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่นวัตกรรม (Innovation District) และศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ (Incubator) เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของ Start Up
4.การสนับสนุนด้านวิซ่าและใบอนุญาตทำงาน: มีการออกวีซ่าพิเศษสำหรับผู้ประกอบการ Start Up และนักลงทุนต่างชาติ เพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถจากทั่วโลก
5.การส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุน: รัฐบาลส่งเสริมการระดมทุนผ่านช่องทางต่างๆ เช่น Crowdfunding และ Angel Investor โดยมีการออกกฎหมายรองรับ
6.การพัฒนาทักษะของกำลังคนและการส่งเสริมการศึกษา: มีการสนับสนุนการพัฒนาหลักสูตรด้านการเป็นผู้ประกอบการและนวัตกรรมในสถาบันการศึกษา รวมถึงการจัดอบรมและสัมมนาเพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็น
7.การสร้างเครือข่ายและความร่วมมือ: รัฐบาลส่งเสริมการสร้างเครือข่ายระหว่าง Start Up นักลงทุน และบริษัทขนาดใหญ่ ผ่านการจัดงาน Startup Thailand และกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ
8.การปรับปรุงกฎระเบียบ: มีการทบทวนและปรับปรุงกฎหมายและระเบียบต่างๆ ให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ Start Up มากขึ้น เช่น การลดขั้นตอนการจดทะเบียนธุรกิจ
9.การส่งเสริมการขยายตลาดต่างประเทศ: มีโครงการสนับสนุนให้ Start Up ไทยขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานส่งเสริมการส่งออกและการลงทุน
กล่าวได้ว่า นโยบายและแนวทางต่างๆเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจ Start Up อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในระยะยาวของการพัฒนาธุรกิจStart Up ในไทย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับนโยบายของภาครัฐเท่านั้น แต่จะขึ้นอยู่กับการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา รวมถึงการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและตลาดโลก