ในบรรดาทรัพยากรธรรมชาติทั้งหลาย ป่าชายเลนนับเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญยิ่งในการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมชายฝั่งทะเล เนื่องจากสภาพแวดล้อม ระบบนิเวศของป่าชายเลนมีความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นแหล่งอาหารและเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ เป็นแหล่งสมุนไพร มีพืชพันธุ์นานาชนิด รวมถึงชุมชนท้องถิ่นโดยรอบได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติดังกล่าว เรียกได้ว่า ธรรมชาติช่วยหล่อเลี้ยงชีวิต เป็นที่อยู่อาศัย ที่ทำมาหากิน ตลอดจนบางชุมชนจัดเป็นแหล่งท่องเที่ยว สร้างรายได้ และสร้างชื่อเสียงให้กับชุมชน ในอีกด้านหนึ่ง ป่าชายเลนยังช่วยป้องกันการพังทลายของชายฝั่ง เป็นตะแกรงธรรมชาติในการกลั่นกรองสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ ที่ปะปนมากับกระแสน้ำ ช่วยเก็บกักตะกอนให้ตกทับถมเป็นดินเลนงอกใหม่
ป่าชายเลนทั้งประเทศ มีประมาณ 2,299,375 ไร่ ใน พ.ศ. 2504 และจากการสำรวจของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ใน พ.ศ. 2518 พบว่า ในภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้ของประเทศไทยมีพื้นที่ป่าชายเลนเหลืออยู่ในพื้นที่ 22 จังหวัดชายฝั่งทะเล จำนวน 1,954,375 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 0.61 ของพื้นที่ประเทศ ช่วงพ.ศ. 2518 จนถึง พ.ศ. 2539 พื้นที่ป่าชายเลนลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงระยะเวลา 10 ปี จากใน พ.ศ. 2529 ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าชายเลน ประมาณ 1,227,647 ไร่ และเหลือเพียง 1,074,390 ไร่ ใน พ.ศ. 2539 หลังจาก พ.ศ. 2539 มา พื้นที่ป่าชายเลนทั้งประเทศได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินโครงการฟื้นฟูป่าชายเลนของภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม (Chiraphan Muatchan, 2012) จนมาถึง พ.ศ. 2560 มีพื้นที่ป่าชายเลน จำนวน 1,534,584.74 ไร่ใน 24 จังหวัด (Thairat Online, 2018) ซึ่งเมื่อเทียบกับปริมาณพื้นที่ป่าชายเลนในอดีต พบว่า ในปัจจุบันมีพื้นที่ป่าชายเลนลดลงไปมาก แม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายเข้มข้นในการแก้ปัญหาบุกรุกป่าชายเลน เน้นการยึดคืนและฟื้นฟูก็ตาม หลังจากที่หลายสิบปีที่ผ่านมามีการบุกรุกทำลายจำนวนมาก โดยประชาชน นายทุน ผู้มีอิทธิพล ที่เข้าไปใช้ประโยชน์ทั้งทำการเกษตร อยู่อาศัย และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
ต่อมา นับตั้งแต่ พ.ศ. 2557 รัฐบาลดำเนินนโยบายทวงคืนผืนป่า ซึ่งเป็นมาตรการของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ออกประกาศคำสั่ง คสช.ที่ 64/2557 ว่าด้วยเรื่อง การปราบปรามและการหยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ และคำสั่ง คสช.ที่ 66/2557 เรื่อง เพิ่มเติมหน่วยงานสำหรับการปราบปราม หยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ และนโยบาย การปฏิบัติงานเป็นการชั่วคราวในสภาวการณ์ปัจจุบัน เน้นการป้องกันและปราบปรามการบุกรุกตัดไม้ทำลายป่า แก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินป่าไม้ โดยการจัดทำแนวเขตที่ดินที่ชัดเจน เร่งรัดกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์การถือครองที่ดิน ส่งเสริมการมีส่วนร่วมประชาชนเพื่อการป้องกันรักษาป่า และให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อสนองต่อนโยบาย ข้อสั่งการ และเพื่อหยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าชายเลนให้คืนสู่สภาพป่าสมบูรณ์ในอนาคตต่อไป (Department of Marine and Coastal Resources, 2016) ทั้งนี้จากการดำเนินนโยบายดังกล่าว พบว่า ภาครัฐสามารถยึดคืนพื้นที่ป่าชายเลนได้จำนวนมากขึ้น เมื่อเทียบกับก่อนช่วงเวลาที่ดำเนินนโยบายทวงคืนผืนป่า กล่าวคือ ช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2546-2556 มีจำนวนพื้นที่บุกรุกที่ยึดคืนมาได้ จำนวน 8,372.13 ไร่ ส่วนช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2557-2561 มีจำนวนพื้นที่บุกรุกที่ยึดคืนมาได้ จำนวน 42,310.16 ไร่
จากผลการดำเนินนโยบายข้างต้น ภาครัฐได้ชี้แจงว่า การนำนโยบายทวงคืนผืนป่าไปปฏิบัติของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้ส่งผลกระทบในแง่ลบต่อผู้ยากไร้ แต่เน้นดำเนินการเฉพาะกลุ่มนายทุน และผู้มีอิทธิพลเป็นหลัก โดยประชาชนผู้ยากไร้ ผู้ที่มีรายได้น้อย และผู้ไร้ที่ดินทำกิน ซึ่งได้อาศัยอยู่ในพื้นที่เดิมก่อนคำสั่งนี้มีผลบังคับใช้ รัฐบาลได้มีมาตรการให้ได้รับการผ่อนผันไม่มีการจับกุม ตามคำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 และที่ 66/2557 ส่วนที่ดินที่ยึดคืนจากกลุ่มนายทุน หรือผู้มีอิทธิพลจะทำการฟื้นฟูให้กลับคืนสู่พี่น้องประชาชนและประเทศชาติ (Thairat Online, 2018)
ในมุมกลับกัน นักวิชาการ ภาคประชาสังคม และชุมชน ได้กล่าวถึงผลกระทบในแง่ลบจากคำสั่ง คสช.ที่ 64/2557 และที่ 66/2557 ว่าการออกคำสั่งทั้งสองฉบับใช้ภาษาที่แสดงถึงเจตจำนงของการใช้กำลังเข้าบังคับเป็นมาตรการหลัก ถึงแม้ คสช. จะตระหนักดีว่าภายหลังการจับกุม ปราบปรามผู้บุกรุกทำลายป่าได้แล้ว การฟื้นฟูป่าจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชน และตระหนักว่าการดำเนินการดังกล่าว ย่อมเกิดผลกระทบขึ้นโดยตรงกับประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตป่า ขณะเดียวกันไม่ได้เขียนไว้อย่างชัดเจนในการดำเนินการเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนผู้ยากไร้ ประกอบกับขาดความชัดเจนว่าภาคประชาชนจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการวางแผนแก้ไขปัญหาได้อย่างไร ทั้งนี้ ผลกระทบต่อประชาชนที่อยู่ในเขตป่า ได้แก่ 1) การถูกข่มขู่คุกคาม ไล่รื้อ และดำเนินคดีในพื้นที่สาธารณะประโยชน์ และพื้นที่สัญญาเช่า 2) มีการไล่รื้อ ตัดฟันทำลายพืชผลอาสินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า โดยใช้คำสั่งทางปกครอง และ 3) มีการจับกุมดำเนินคดี (Land Watch, 2018)
จากข้อมูลข้างต้น สรุปได้ว่า ในภาพรวมนโยบายทวงคืนฝืนป่าเป็นนโยบายที่เกิดผลเป็นรูปธรรมเกี่ยวกับจำนวนคดี จำนวนผู้ต้องหา และจำนวนพื้นที่บุกรุกที่ยึดคืนมาได้เพิ่มสูงขึ้น แต่สิ่งที่ยังคงเป็นปัญหา หรือมีความคลุมเครือ คือ “การนำนโยบายไปปฏิบัติ” ว่าดำเนินการอย่างไร ผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการเป็นอย่างไร ซึ่งจะนำไปสู่การนำเสนอรูปแบบการนำนโยบายทวงคืนผืนป่าไปปฏิบัติที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ ทำอย่างไร “ให้คนอยู่ได้ ป่าอยู่ได้” คนสามารถอยู่กับป่าได้อย่างยั่งยืน
ที่มา: ชมภูนุช หุ่นนาค. (2562). รูปแบบการนำนโยบายทวงคืนผืนป่าไปปฏิบัติ ศึกษาพื้นที่ป่าชายเลนภาคกลางในประเทศไทย. วารสารผู้ตรวจการแผ่นดิน. 12(2) (กรกฎาคม-ธันวาคม 2562), 37-67.