อสังหาริมทรัพย์เป็นสินทรัพย์มีตัวตนที่มีราคาสูง โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยถือว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่จำเป็นต้องใช้ในการดำรงชีวิตของคนทุกคน ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าคนที่ทำงานเริ่มมีรายได้มั่นคงแล้วสิ่งที่ต้องการมากที่สุดก็คือการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง แต่เนื่องจากที่อยู่อาศัยประเภทต่างๆ ทั้ง ทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียม ล้วนมีราคาสูง โดยเฉพาะในทำเลที่ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจ และใกล้เส้นทางคมนาคมหลักจะยิ่งมีราคาสูงมาก คนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย หรือมีเงินสดเพียงพอที่จะซื้อที่อยู่อาศัยได้จึงต้องกู้เงินจากสถาบันการเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นการนำรายได้ในอนาคตมาใช้ก่อนในปัจจุบัน รวมทั้งมีต้นทุนทางการเงินที่จะต้องจ่ายก็คือดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับซื้อที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตามการกู้เงินจากสถาบันการเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยมีประโยชน์ที่สำคัญคือสามารถนำดอกเบี้ยเงินกู้มาใช้ในการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีได้ ข้อควรระวังของคนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยโดยการกู้เงินจากสถาบันการเงินก็คือ ต้องประเมินความสามารถของตนเองในการผ่อนชำระเงินกู้ในระยะยาวว่ามีเพียงพอที่จะสามารถผ่อนชำระค่างวดโดยไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายในการดำรงชีวิตประจำวัน และยังคงมีเงินสำรองเหลือเพียงพอที่จะใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉินได้ นอกจากนี้ ยังต้องมีรายจ่ายในการตกแต่งที่อยู่อาศัย และการซื้อของใช้จำเป็นต่างๆภายในที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ค่อนข้างมากเช่นกัน อย่างไรก็ตามผู้ที่ซื้อที่อยู่อาศัยจะได้ประโยชน์ในระยะยาวจากมูลค่าของที่อยู่อาศัยนั้นที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ การพัฒนาของสถานที่แวดล้อม และการพัฒนาเส้นทางคมนาคมใหม่ๆที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จะมีความซับซ้อนค่อนข้างมาก เนื่องจากการประเมินมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆมากมาย เช่น ทำเลที่ตั้ง สภาวะแวดล้อม สภาพของสินทรัพย์ และคุณภาพของสินทรัพย์ เป็นต้น ดังนั้นการประเมินมูลค่าที่มีความถูกต้องจึงต้องใช้ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านทำการประเมินราคา นอกจากนี้อสังหาริมทรัพย์เป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย หรือเศรษฐกิจตกต่ำ ดังนั้นเมื่อผู้ลงทุนต้องการขายอสังหาริมทรัพย์นั้นอาจต้องใช้เวลานานมากในการขาย หรืออาจจะต้องตัดสินใจขายในราคาต่ำกว่าราคาที่ต้องการมากถึงจะขายได้ ดังนั้นในกรณีของผู้ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยโดยไม่ได้คาดว่าว่าจะขาย จึงไม่ต้องกังวลใจเกี่ยวกับการประเมินมูลค่าที่เหมาะสม และการมีสภาพคล่องต่ำของอสังหาริมทรัพย์ แต่สำหรับผู้ที่มีที่อยู่อาศัยอยู่แล้ว และต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในระยะยาว หรือการเก็งกำไรในระยะเวลาที่ไม่ยาวนานมากนักนั้นควรจะต้องศึกษาข้อมูลต่างๆให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน เพราะนอกจากจะเจอปัญหาในการประเมินราคาที่เหมาะสมและปัญหาสภาพคล่องของอสังหาริมทรัพย์แล้ว ยังมีปัญหาเรื่องของภาระภาษีต่างๆจากการถือครอง และการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ เช่น ภาษีธุรกิจเฉพาะ รวมทั้งภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เริ่มมีผลบังคับใช้ในปี พ.ศ.2563
จะเห็นได้ว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มีความซับซ้อน แต่ผู้ลงทุนหลายคนอาจชื่นชอบการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เนื่องจากราคาอสังหาริมทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลงตามสภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจรุ่งเรืองราคาอสังหาริมทรัพย์อาจจะปรับเพิ่มขึ้นได้มากเช่นกัน ผู้ที่ชื่นชอบในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มีทางเลือกในการลงทุนได้หลายวิธี เช่น ลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์โดยตรง ลงทุนซื้อหุ้นในกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหุ้น หรือ ซื้อกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น อย่างไรก็ตามการลงทุนในทุกทางเลือกมีความเสี่ยงและผลตอบแทนที่แตกต่างกัน ดังนั้นไม่ว่าผู้ลงทุนจะเลือกลงทุนในทางเลือกใดก็ตามจะต้องศึกษาข้อมูลให้รอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุน