ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี กับการพัฒนาพื้นที่เมืองอัจฉริยะที่น่าอยู่ ปลอดภัยและเติบโตอย่างยั่งยืน

จากยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ได้กำหนดจุดหมายที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ เรื่องของการพัฒนาพื้นที่เมืองอัจฉริยะที่น่าอยู่ ปลอดภัยและเติบโตอย่างยังยืน จากจุดมุ่งหมายดังกล่าวเพื่อให้เกิดผลของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการลงทุน พร้อมทั้งเกิดการขยายตัวและการกระจายรายได้อย่างเท่าเทียมในหลากหลายรูปแบบ การพัฒนาเมืองให้มีความน่าอยู่ สร้างความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในทุกรูปแบบนั้น สิ่งหนึ่งที่สำคัญในไปให้ถึงจุดหมายของยุทธศาสตร์ชาตินั้นคือ การจุดประกายหรือการกระตุ้นความคิดของผู้คนที่อยู่ในพื้นเมืองการส่งเสริมความรู้วิธีการทำงานแบบใหม่ที่สามารถแก้ปัญหาได้โดยปรับให้อยู่ในวิถีชีวิตของคนพื้นเมือง ซึ่งแนวคิดใหม่ ๆ นี้เกี่ยวข้องกับพื้นที่การเรียนรู้ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสสำคัญในการศึกษาระดับสูง ทำให้ผู้เรียนมีโอกาสในการประสบความสำเร็จมากขึ้น ซึ่งเกิดจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ การใช้สอยพื้นที่การเรียนรู้ในปัจจุบันให้มีศักยภาพ

สำหรับพื้นที่การเรียนรู้ (Learning Space) คือ สภาพแวดล้อมทางกายภาพหรือเสมือนจริงที่มีกิจกรรมการเรียนการสอนเกิดขึ้น แนวคิดเกี่ยวกับพื้นที่การเรียนรู้มีการพัฒนาไปตามกาลเวลาเพื่อสร้างหรือออกแบบพื้นที่และสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ให้ส่งเสริมแนวทางการศึกษาที่หลากหลายและเป็นพลวัต พื้นที่การเรียนรู้เป็นตัวจุดประกาย กระตุ้น สานคนที่คิดคล้าย ๆ กัน แล้วเสริมพลังด้วยทุนประเดิมเล็ก ๆ น้อย ๆ มีชุดความรู้ คู่มือ สื่อต่าง ๆ วิธีการทำงานแบบนี้คาดว่าจะเกิดสิ่งใหม่ ๆ ที่แก้ปัญหาได้จริง อยู่ในวิถีชีวิตของคน การมี “พื้นที่การเรียนรู้” เป็นส่วนหนึ่งของการประเมินและพัฒนาการศึกษา ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ การใช้เทคโนโลยี และการสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวัน[1] พื้นที่การเรียนรู้ว่าครอบคลุมถึงแผนยุทธศาสตร์ชาติ 2561-2580 (2560) พบว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่ระบบเศรษฐกิจไทยเน้นแข่งขันด้านต้นทุนและราคามากกว่าการลงทุนพัฒนาเชิงคุณภาพหรือการสร้างคุณค่า[1] ทำให้ไม่สามารถตอบสนองต่อโอกาสที่มาจากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลง ในระดับโลกได้อย่างเต็มที่ ทั้งกระแสความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว รวมถึงรูปแบบการใช้ ชีวิตบนความปกติใหม่ที่เป็นปัจจัยเร่งให้ธุรกิจออนไลน์ในไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด

การพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 (2566)[2] จึงจำเป็นต้องเร่งรัดผลักดันการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภาคการผลิตเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยนวัตกรรมและมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ที่เน้นการสร้างคุณค่าให้แก่สินค้าและบริการเชิงคุณภาพ แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง เพื่อมุ่งสู่สังคมแห่งโอกาส สร้างความเสมอภาค และลดความเหลื่อมล้ำทั้งในเชิงรายได้ เชิงพื้นที่ และโอกาสในการแข่งขันของภาคธุรกิจ โดยการกระจายการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและเมือง เน้นส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาและการพัฒนาทักษะอาชีพที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางให้มีโอกาสได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ พัฒนาผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม โดยการสนับสนุน อาทิการยกระดับมาตรฐาน และพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์และบริการ


[1] สำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ. (2561). ยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561-2580 (ฉบับย่อ). เข้าถึงเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2567. เข้าถึงได้จาก https://www.nesdc.go.th/download/document/SAC/NS_SumPlanOct2018.pdf

[2] สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2566). ร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่สิบสาม พ.ศ. 2566 – 2570. เข้าถึงเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2567. เข้าถึงได้จาก https://www.nesdc.go.th/download/Plan13/Doc/Plan13_DraftFinal.pdf.


[1] Kolb, A. Y., & Kolb, D. A. (2006). Learning styles and learning spaces: A review of the multidisciplinary application of experiential learning theory in higher education. In Learning styles and learning: A key to meeting the accountability demands in education (pp. 45-91).