การใช้เงินทุนของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในตลาดหลักทรัพย์ไทย

รองศาสตราจารย์ ดร.กัลยานี ภาคอัต

การอธิบายถึงการใช้เงินทุนของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือ SMEs ในตลาดหลักทรัพย์ไทย อธิบายโดยใช้ข้อมูลจริงของ SMEs ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในช่วงระยะเวลาปี 2561 – 2563 ที่แสดงให้เห็นว่า  นโยบายการเงินของผู้บริหารในการจัดการเงินทุนเป็นไปตามทฤษฎีโครงสร้างเงินทุนหรือไม่

จากข้อมูลของแต่ละธุรกิจพบว่า  SMEs ทั้งหมด หรือทุกธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ใช้หนี้สินระยะสั้นในการดำเนินงานแต่ในสัดส่วนที่แตกต่างกัน  ส่วนหนี้สินระยะยาวนั้น  อาจกล่าวได้ว่า แต่ละธุรกิจมีนโยบายแตกต่างกัน  บางธุรกิจใช้หนี้สินระยะยาวเพื่อลงทุนในโครงการลงทุนค่อนข้างสูง  โดยเฉพาะในช่วงที่มีการลงทุนใช้หนี้สินถึง 210%   ในขณะที่ประมาณกว่า 50% ใช้เงินทุนจากส่วนของเจ้าของ  โดยใช้จากแหล่งเงินทุนภายใน และการออกจำหน่ายหุ้นสามัญ  จากระดับของการใช้เงินทุนจากหนี้สินระยะยาวเป็นที่น่าสังเกตว่า  ภาคอุตสาหกรรมเป็นภาคธุรกิจที่ใช้หนี้สินทั้งระยะสั้นและระยะยาวค่อนข้างสูง  ในทางตรงกันข้าม ภาคอุตสาหกรรมบริการเป็นภาคธุรกิจที่ใช้หนี้สินค่อนข้างน้อย  และหากพิจารณาถึงมูลค่าธุรกิจ และขนาดของกิจการ จะพบว่า  SMEs ขนาดกลางและขนาดเล็กใช้เงินทุนจากแหล่งเงินทุนภายนอกค่อนข้างน้อย  ส่วนใหญ่จะเป็นแหล่งเงินทุนภายในก่อน  ที่สำคัญคือ มูลค่าธุรกิจของธุรกิจที่ใช้หนี้สินเพิ่มขึ้นจะสูงกว่าธุรกิจที่ไม่ใช้หนี้สิน และการเพิ่มหนี้สินของธุรกิจก็นำไปสู่การเพิ่มมูลค่าธุรกิจด้วย (กัลยานี ภาคอัต และคณะ, 2564)

จากรายละเอียดข้างต้น  จึงอาจสรุปในภาพรวมได้ว่า  การใช้เงินทุนของ SMEs ในตลาดหลักทรัพย์ไทยสอดคล้องกับแนวคิดของทฤษฎี MM ทฤษฎี Trade-off และทฤษฎี Pecking Order ซึ่งหมายความว่า  ผู้บริหารของ SMEs ได้นำแนวคิดทฤษฎีทางการเงินมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานหรือทางปฏิบัติจริง