กลไกและแนวคิดสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและชุมชน

          เมื่อไม่นานมานี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าร่วมการอบรมในหลักสูตร “ABC Academy การพลิกบทบาทนักวิจัยสู่ผู้ขับเคลื่อนการจัดการงานวิจัยเชิงพื้นที่เพื่อการพัฒนาประเทศ” โดย ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุน ด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) การบรรยายครั้งนี้ได้นำเสนอองค์ความรู้ที่สั่งสมจากประสบการณ์จริงในการปฏิบัติงาน ซึ่งยังไม่ได้รับการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างเป็นทางการ บทความนี้จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อสรุปและนำเสนอสาระสำคัญที่ได้รับจากการบรรยายดังกล่าว

การวิเคราะห์บริบทและระบบ รากฐานของการเปลี่ยนแปลง

          ประเด็นแรกที่ได้รับการเน้นย้ำในการบรรยายคือความสำคัญของการวิเคราะห์บริบท (Context Analysis) ควบคู่กับการวิเคราะห์เชิงระบบ (Systematic Analysis) วิทยากรได้ชี้ให้เห็นว่าการมองหาโอกาสใหม่ๆ นั้นแตกต่างจากการมองปัญหาที่เห็นได้ชัดเจน เช่น ปัญหาการบริหารจัดการน้ำหรือปัญหาผู้สูงอายุ

          การวิเคราะห์บริบทที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการเข้าใจขบวนการทางสังคม (Social Movement) โดยการทำ Systematic Analysis เพื่อให้เห็นภาพรวมของระบบในบริบทนั้นอย่างละเอียด การวิเคราะห์ดังกล่าวต้องครอบคลุมถึงขอบเขตอำนาจ (Administrative Boundary) เครื่องมือ (Tools) กลไก (Mechanisms) และกระบวนการ (Processes) ที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใช้ในการดำเนินงาน

          การวิเคราะห์ในลักษณะนี้จะช่วยให้เห็นเป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงและตัวชี้วัดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ซึ่งเป้าหมายเหล่านี้มักเป็นเป้าหมายใหญ่ของการขับเคลื่อนการพัฒนาในภาพรวม

บทบาทของข้อมูลและความรู้ในการสร้างการเปลี่ยนแปลง

          การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนต้องอาศัยข้อมูลและความรู้เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาและสร้างโอกาสใหม่ๆ วิทยากรได้ชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงบางอย่างอาจเกิดจากการรู้ข้อมูลใหม่เท่านั้น โดยที่ยังไม่จำเป็นต้องมี “ความรู้” เต็มรูปแบบ ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงบางประเภทยังสามารถเกิดจากกระบวนการทางสังคม (Social Process) เช่น ขบวนการของภาคประชาสังคม

          สิ่งที่น่าสนใจคือการนำเสนอองค์ประกอบสำคัญ 5 ประการที่ทำให้การใช้ข้อมูลนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่

  1. ที่มาของข้อมูลและการยอมรับข้อมูลร่วมกัน – ความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลและการสร้างฉันทามติในการยอมรับข้อมูล
  2. ความหมายของข้อมูล – การตีความข้อมูลให้เห็นประโยชน์และความสำคัญที่ชัดเจน
  3. การนำเสนอข้อมูล – การสื่อสารทางสถิติที่ทำให้เห็นภาพและเข้าใจได้ง่าย
  4. การขับเคลื่อนนโยบายด้วยข้อมูล – การใช้ข้อมูลเป็นเครื่องมือในการสนับสนุนนโยบาย
  5. ความเป็นเจ้าของข้อมูล – การมีส่วนร่วมตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย การเก็บข้อมูล และการตรวจสอบข้อมูลร่วมกัน

แนวคิดเรื่อง Knowledge Stock: ความพร้อมในการแก้ปัญหา

          แนวคิดที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ “Knowledge Stock” ซึ่งหมายถึงองค์ความรู้หรือแนวคิด/โซลูชันที่ผู้นำหรือผู้แก้ปัญหาต้องมีพร้อมในหัวเพื่อนำไปใช้เมื่อเผชิญปัญหา การขาด Knowledge Stock จะทำให้เกิดวงจรการประชุมที่ไร้ประสิทธิภาพ เริ่มตั้งแต่การรับโจทย์ การประชุมหาแนวทาง การหาผู้รับผิดชอบ การหางบประมาณ จนกระทั่งการได้แผนที่ไม่ผ่านการอนุมัติหรือไม่มีงบประมาณสนับสนุน

          Knowledge Stock จึงเป็นการรู้ว่า “ใครทำอะไร อยู่ที่ไหน ที่พร้อมจะนำไปปรับใช้ (adoption) เพื่อแก้ปัญหา” ความรู้นี้จะช่วยให้การแก้ปัญหามีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น

กลไกความร่วมมือ หัวใจของการบูรณาการ

          การสร้างกลไกความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพเป็นส่วนสำคัญในการบูรณาการการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะในงานพื้นที่

          กลไกความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพควรประกอบด้วย 6 องค์ประกอบหลัก

  1. การสร้างเป้าหมายร่วมกัน เป้าหมายที่ดีที่สุดควรอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลและความเข้าใจร่วมกัน
  2. โครงสร้างและกติการ่วมกัน เพื่อให้ทุกคนรู้บทบาทและสิ่งที่ต้องทำหลังการประชุม
  3. การระดมทรัพยากรร่วมกัน ทุกฝ่ายต้องมีส่วนร่วมในการออกเงินหรือออกแรง
  4. กิจกรรมการทำงานร่วมกัน จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
  5. การแบ่งปันผลประโยชน์ ทุกคนต้องได้รับการยอมรับหรือผลประโยชน์ไม่มากก็น้อย
  6. กระบวนการทางสังคม กระบวนการสร้างเป้าหมายร่วมกันอย่างมีส่วนร่วม

          ในการสร้างกลไกความร่วมมือในพื้นที่ จำเป็นต้องมีการทำงานร่วมกันระหว่าง 3 กลไกหลัก ได้แก่ กลไกการบริหารราชการแผ่นดิน กลไกภาคประชาสังคม และกลไกภาคตลาด/ภาคธุรกิจ แต่ละกลไกมีความซับซ้อนในการทำงานที่แตกต่างกัน และต้องใช้ความรู้เฉพาะในการทำงานร่วมกัน

การจัดการความรู้และวงจรการเรียนรู้

          การสร้างและจัดการความรู้อย่างเป็นระบบเป็นจุดสำคัญที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงมีการใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ หากไม่มีระบบนี้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอาจไม่สามารถอธิบายได้ด้วยความรู้

          วงจรการเรียนรู้ (Learning Loop) โดยเฉพาะแบบ Triple Loop เป็นเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนพฤติกรรมและวัดผลการเรียนรู้ ประกอบด้วย

  • Loop 1 การเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงาน
  • Loop 2 การเปลี่ยนแปลงระบบปฏิบัติการหรือเครื่องมือการทำงาน
  • Loop 3 การเปลี่ยนแปลงบริบทหรือกระบวนทัศน์การทำงาน

          นอกจากนี้ ยังมีการอธิบายระดับความสัมพันธ์ในกลไกความร่วมมือตั้งแต่ระดับ Social Networking (การรู้จักกัน) Social Partnership (การทำงานร่วมกัน) Social Engagement (การมีแผนร่วมกัน) จนถึง Social Trust (ความเชื่อมั่นเชิงจิตวิญญาณ)

แผนงาน A-Industry ตัวอย่างการประยุกต์ใช้

          การบรรยายได้นำเสนอแผนงาน A-Industry (Agriculture/Area-based Industry) เป็นตัวอย่างโปรแกรมในอนาคตที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สปช.) กำลังเสนอ เพื่อยกระดับเศรษฐกิจมวลรวมระดับพื้นที่

          เหตุผลของการจัดทำแผนงานนี้เกิดจากปัญหาความเจริญที่กระจุกตัวและการลงทุนในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ไม่ได้คำนึงถึงทุนทางสังคม (Social Capital) ของพื้นที่ ซึ่งมักนำไปสู่ความขัดแย้งและการไม่กระจายรายได้

          แผนงาน A-Industry มีเป้าหมายเน้นอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารที่สามารถกระจายรายได้และสร้างงานได้สูง โดยมองโครงสร้างเศรษฐกิจในมิติของเศรษฐกิจมหภาค เศรษฐกิจฐานราก และเศรษฐกิจชุมชน/พื้นที่ ซึ่งเป็นหน่วยวิเคราะห์ที่ยังไม่ได้รับความสำคัญมากนัก

โมเดลต่างๆ ในเศรษฐกิจฐานรากและชุมชนที่ได้รับการกล่าวถึง ได้แก่

  • โมเดลอาชีพครัวเรือน การยกระดับเศรษฐกิจชุมชนที่เป็นธุรกิจชุมชนซึ่งมีครัวเรือนยากจนอยู่ด้วย
  • กลุ่มอาชีพ ธุรกิจชุมชนที่ไม่มีการจดทะเบียนแต่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง
  • ตลาดชุมชน เครื่องมือสำคัญในการต่อสู้กับการค้าสมัยใหม่
  • ธุรกิจท้องถ้องถิ่น ธุรกิจชุมชนที่มีตลาดและห่วงโซ่คุณค่าอยู่แล้ว
  • ขนาดที่เหมาะสม (Optimal Scale) การหาจุดที่ธุรกิจชุมชนสามารถมีรายได้สม่ำเสมอโดยไม่ต้องเป็นหนี้

บทเรียนจากตัวอย่างความสำเร็จ

          การบรรยายได้ยกตัวอย่างความสำเร็จที่น่าสนใจ 2 กรณี

          กรณีทุเรียน กลุ่มเกษตรกรทุเรียนกว่า 4,000 ไร่ (400 ราย) รวมตัวกันลงทุนสร้าง “ล้ง” (ศูนย์รับซื้อ/แปรรูป) ของตัวเอง ขนาด 8 ไร่ รับซื้อผลผลิตวันละ 8-10 ล้านบาท ทำให้สามารถควบคุมราคาตลาดและมาตรฐานการผลิตได้

          กรณีปู ศูนย์ผลิตลูกปูแม่ปูที่สามารถผลิตได้ถึง 76% ของทั้งหมด และได้พัฒนาจากการให้ฟรีมาเป็นการขายผ่าน Social Enterprise ของมหาวิทยาลัย ซึ่งช่วยควบคุมมาตรฐานและราคาได้

การพัฒนาบุคลากรเพื่อการเปลี่ยนแปลง

          ประเด็นสุดท้ายที่ได้รับการเน้นย้ำคือการสร้าง Change Agent (ผู้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง) ในแต่ละระดับ

  • ระดับชุมชน นโยบาย “1 มหาวิทยาลัย 1 ภารกิจ + 1 เศรษฐกิจตำบล”
  • ระดับพื้นที่ Area Research Manager หรือ Area Manager ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่เฉพาะ
  • ระดับประเทศ หลักสูตรสำหรับนักจัดการฐานธรรมระดับสูงของประเทศ

บทสรุป

          การบรรยายครั้งนี้ได้นำเสนอองค์ความรู้ที่สำคัญเกี่ยวกับการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและชุมชน โดยเน้นที่การวิเคราะห์บริบทอย่างเป็นระบบ การใช้ข้อมูลและความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ การสร้างกลไกความร่วมมือ และการพัฒนาบุคลากรเพื่อการเปลี่ยนแปลง

          สิ่งที่น่าประทับใจคือการนำเสนอแนวคิดที่มาจากประสบการณ์จริงในการปฏิบัติงาน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนต้องอาศัยการทำงานร่วมกันระหว่างหลายภาคส่วน การเข้าใจบริบทของพื้นที่ และการมีระบบการเรียนรู้ที่ต่อเนื่อง

          ความรู้เหล่านี้ไม่เพียงแต่มีประโยชน์สำหรับผู้ปฏิบัติงานในภาคการพัฒนาเท่านั้น แต่ยังเป็นองค์ความรู้ที่สำคัญสำหรับนักวิชาการ นักศึกษา และผู้สนใจในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนด้วย