ESG กรอบแนวคิดแห่งศตวรรษที่ 21 กำหนดทิศทางธุรกิจไทยสู่ความยั่งยืน

ในโลกยุคใหม่ที่ความเชื่อมโยงไร้พรมแดนได้นำมาซึ่งทั้งโอกาสและความท้าทายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน องค์กรธุรกิจไม่ได้ดำเนินงานอยู่บนเกาะที่แยกขาดจากสังคมและสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป วิกฤตการณ์ซ้อนวิกฤต ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรง ความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานโลกที่ปรากฏชัดเจน ไปจนถึงความคาดหวังของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ได้กลายเป็นปัจจัยกดดันที่บีบให้ภาคธุรกิจต้องทบทวนนิยามของ “ความสำเร็จ” เสียใหม่ จากเดิมที่เคยวัดผลกันด้วยตัวเลขผลกำไรเพียงอย่างเดียว วันนี้ความสำเร็จที่แท้จริงต้องครอบคลุมถึงความสามารถในการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนและสมดุล ท่ามกลางบริบทที่ซับซ้อนนี้เอง กรอบแนวคิด ESG (Environmental Social and Governance) ได้พัฒนาจากแนวคิดเฉพาะกลุ่มมาสู่การเป็นยุทธศาสตร์กระแสหลัก ที่เปรียบเสมือนเข็มทิศสำคัญซึ่งจะนำพาองค์กรให้สามารถรับมือกับความผันผวนและสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนในระยะยาว

แกะรอยความหมาย ทำความเข้าใจสามเสาหลักแห่งความยั่งยืน

หัวใจของ ESG คือการบูรณาการปัจจัยสามมิติที่เกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้งเข้ากับการดำเนินงานและกระบวนการตัดสินใจขององค์กร โดยสามเสาหลักนี้ประกอบด้วย

  • มิติด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) เสาหลักนี้เรียกร้องให้องค์กรตระหนักและรับผิดชอบต่อผลกระทบที่การดำเนินงานของตนมีต่อโลกธรรมชาติอย่างจริงจัง ซึ่งไปไกลกว่าแค่การปฏิบัติตามกฎหมายขั้นพื้นฐาน แต่ครอบคลุมถึงการบริหารจัดการเชิงรุกในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อต่อสู้กับภาวะโลกร้อน การบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น การดูแลรักษาแหล่งน้ำและการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และที่สำคัญคือการปรับเปลี่ยนสู่ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่มุ่งลดของเสียให้เป็นศูนย์ผ่านการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ทนทาน ซ่อมแซมได้ และนำกลับมารีไซเคิลได้อย่างสมบูรณ์
  • มิติด้านสังคม (Social) เสาหลักนี้สะท้อนถึงคุณภาพความสัมพันธ์ที่องค์กรมีต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ตั้งแต่พนักงานในองค์กรไปจนถึงสังคมในวงกว้าง ในมิติของ พนักงาน หมายถึงการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย การให้ค่าตอบแทนที่เป็นธรรม การเคารพสิทธิมนุษยชน การส่งเสริมความเท่าเทียมและความหลากหลาย และการลงทุนพัฒนาทักษะเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพ สำหรับ ลูกค้า คือความรับผิดชอบต่อคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์และการสื่อสารอย่างมีจริยธรรม ในส่วนของ ชุมชน คือการสร้างผลกระทบเชิงบวกและได้รับ “ใบอนุญาตทางสังคมในการดำเนินงาน” (Social License to Operate) และตลอด ห่วงโซ่อุปทาน คือการตรวจสอบให้แน่ใจว่าคู่ค้าดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรมและเคารพสิทธิมนุษยชนเช่นเดียวกัน
  • มิติด้านธรรมาภิบาล (Governance) หาก E และ S คือ “สิ่งที่ต้องทำ” G ก็คือ “โครงสร้างที่ทำให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นได้จริง” ธรรมาภิบาลเป็นกลไกการกำกับดูแลกิจการที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ เป็นรากฐานที่ค้ำจุนอีกสองเสาหลักให้มั่นคง ซึ่งรวมถึงการมีโครงสร้างคณะกรรมการที่มีความเป็นอิสระและหลากหลาย การกำหนดนโยบายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันที่ชัดเจน การมีระบบบริหารความเสี่ยงที่แข็งแกร่ง การเคารพสิทธิของผู้ถือหุ้น และการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานอย่างครบถ้วนและโปร่งใส องค์กรที่มีธรรมาภิบาลที่ดีจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายได้อย่างยั่งยืน

แรงผลักดันและแรงดึงดูด ทำไมธุรกิจไทยต้องเดินหน้าสู่ ESG

การที่ ESG กลายเป็นวาระสำคัญของธุรกิจไทยในปัจจุบันนั้น มาจากทั้งแรงผลักดันภายนอกที่ไม่อาจต้านทาน และแรงดึงดูดจากโอกาสใหม่ๆ ที่น่าสนใจ แรงผลักดัน (Push Factors) ที่สำคัญคือความคาดหวังจากห่วงโซ่คุณค่าระดับโลก บริษัทข้ามชาติและลูกค้าในตลาดสากลต่างกำหนดให้คู่ค้าและซัพพลายเออร์ต้องมีมาตรฐานด้าน ESG ที่เข้มงวด ขณะเดียวกัน ภาคการเงินและการลงทุนทั่วโลกได้นำปัจจัย ESG มาเป็นเกณฑ์สำคัญในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อและตัดสินใจลงทุน ทำให้บริษัทที่เมินเฉยต่อ ESG อาจเข้าถึงแหล่งทุนได้ยากขึ้นและมีต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น นอกจากนี้ นโยบายของภาครัฐและกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ เช่น การเตรียมความพร้อมสู่การเก็บภาษีคาร์บอน ก็เป็นแรงผลักดันที่สำคัญ

ในอีกด้านหนึ่ง แรงดึงดูด (Pull Factors) หรือโอกาสที่เกิดจาก ESG ก็มีอยู่มหาศาล การปรับกระบวนการผลิตเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมักนำไปสู่ นวัตกรรมและประสิทธิภาพ ที่ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานในระยะยาว การมีภาพลักษณ์ขององค์กรที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมยังช่วย เสริมสร้างแบรนด์และความภักดี จากผู้บริโภค โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าของแบรนด์มากขึ้น นอกจากนี้ องค์กรที่มีเป้าหมายชัดเจนด้านความยั่งยืนยังเป็นแม่เหล็ก ดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพ ที่ต้องการทำงานในองค์กรที่สร้างผลกระทบเชิงบวกมากกว่าแค่ผลกำไร

จากทฤษฎีสู่การลงมือทำ เส้นทางสู่การบูรณาการ ESG

การเดินทางสู่องค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย ESG ต้องอาศัยความมุ่งมั่นและกระบวนการที่เป็นระบบ เริ่มต้นจาก ความมุ่งมั่นของผู้นำระดับสูง ที่ต้องกำหนดทิศทางและเป็นผู้สนับสนุนหลัก จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการ ประเมินประเด็นสำคัญ (Materiality Assessment) เพื่อวิเคราะห์ว่าประเด็นด้าน ESG ใดที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของตนเองมากที่สุด เมื่อได้ประเด็นที่ชัดเจนแล้ว จึงนำมา กำหนดกลยุทธ์และเป้าหมายที่วัดผลได้ เช่น การตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนที่สอดคล้องกับเป้าหมายระดับประเทศ ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดคือ การบูรณาการเข้ากับการดำเนินงาน ในทุกภาคส่วน ตั้งแต่การจัดซื้อ การผลิต การตลาด ไปจนถึงการบริหารทรัพยากรมนุษย์ และสุดท้ายคือ การวัดผลและรายงานผล อย่างโปร่งใสและต่อเนื่อง เพื่อติดตามความคืบหน้าและสื่อสารไปยังผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สร้างวงจรของการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง

บทสรุป สร้างอนาคตที่ยั่งยืน ผ่านการดำเนินธุรกิจที่รับผิดชอบ

ในท้ายที่สุด การปรับตัวสู่กรอบการดำเนินงานแบบ ESG ไม่ใช่เพียงการทำตามกระแสหรือการบริหารจัดการความเสี่ยงเท่านั้น แต่เป็นการปรับเปลี่ยนมุมมองและวางรากฐานองค์กรเพื่อความสำเร็จในศตวรรษที่ 21 อย่างแท้จริง มันคือการสร้างความสามารถในการปรับตัวและฟื้นตัวจากวิกฤต (Resilience) การส่งเสริมนวัตกรรม และการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ลอกเลียนแบบได้ยาก การเดินทางสายนี้อาจต้องใช้เวลาและความทุ่มเท แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือองค์กรที่แข็งแกร่ง สังคมที่น่าอยู่ และสิ่งแวดล้อมที่ได้รับการปกป้อง ซึ่งเป็นองค์ประกอบของ “ความสำเร็จ” ที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงสำหรับธุรกิจไทยและสังคมโดยรวม

ที่มา: ธีทัต ตรีศิริโชติ ดวงพร พุทธวงค์ และ วีรกร สายเทพ. (2568). ESG เพื่อความยั่งยืนทางธุรกิจ: จากแนวคิดสู่การปฏิบัติ (พิมพ์ครั้งที่ 1) [E-book]. ISBN: 978-616-619-756-3