รองศาสตราจารย์ ดร.กัลยานี ภาคอัต
การลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินประเภทใดๆ ก็ตาม มิอาจหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้เลย ดังวลีที่ว่า “ความเสี่ยงสูง ผลตอบสูง (High Risk – High Return)” ถ้าหากต้องการความเสี่ยงน้อยและสร้างความปลอดภัยของเงินลงทุนแล้ว คำตอบคือ การฝากเงินไว้กับธนาคารหรือการออมเงิน แต่ในปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำมากจนรับไม่ได้ ดังนั้น ทางเลือกที่หลายๆ ท่านอาจจะมองคือ การลงทุนในหุ้นที่มีความมั่งคงสูง และได้รับผลตอบแทนในรูป “เงินปันผล” อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง จึงเป็นที่มาของการนำเสนอบทความเรื่องนี้
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจถึง “หุ้นปันผล” คือ การมองหาหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงในแต่ละปี หากจะเปรียบเทียบได้กับการรับดอกเบี้ยเงินฝากนั่นเอง และการมองหาหุ้นปันผลในปัจุบันไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป
เนื่องด้วยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้เผยแพร่ดัชนี SETHD (SET High Dividend 30 Index) เป็นดัชนีที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น 30 ตัว ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูง สภาพคล่องการซื้อขายอยู่ในเกณฑ์ดี มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลต่อเนื่อง และนโยบายจ่ายเงินปันผลมากกว่า 85% ของกำไรในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ รายชื่อหุ้นที่ใช้ในการคำนวณดัชนีจะมีการทบทวนและปรับเปลี่ยนทุก 6 เดือน เพื่อให้ดัชนีสะท้อนสถานการณ์การลงทุนที่เกิดขึ้น
การมองหาหุ้นปันผลสำหรับนักลงทุนมือใหม่มีเทคนิคในสรรหาดังนี้
1. ธุรกิจมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี พิจารณาจากการเจริญเติบโตของบริษัทที่มีอย่างต่อเนื่อง และแนวโน้มการเติบโตของบริษัทในอนาคต และยังเป็นบริษัทไม่ถึงจุดอิ่มตัว
2. ฐานะการเงินที่มีความแข็งแกร่ง พิจารณาจาก 3 ปัจจัยคือ 1) โครงสร้างหนี้เหมาะสมสามารถพิจารณาจากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) 2) กำไรสะสมบวก บริษัทที่มีผลประกอบการแสดงกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกำไรสุทธิภายหลังจัดสรรแล้วส่วนที่เหลือได้จัดเก็บไว้ในรูปของกำไรสะสม และ 3) กระแสเงินสดเป็นบวก พิจารณาจากงบกระแสเงินสดซึ่งแสดง 3 กิจกรรมคือ กิจกรรมดำเนินงาน กิจกรรมการลงทุน และกิจกรรมการจัดหาเงิน กล่าวโดยสรุปถ้าเงินสดปลายงวดเพิ่มขึ้น และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกแล้ว แสดงว่าบริษัทมีกระแสเงินสดเป็นบวกอย่างแน่นอน
3. สภาพคล่องการซื้อขาย หุ้นบางตัวมีการจ่ายเงินปันผลดีแต่สภาพคล่องต่ำ ทำให้การซื้อขายหุ้นทำได้ยากและใช้เวลานาน จึงควรเลือกหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่
4. จ่ายเงินปันผลที่มีความสม่ำเสมอ พิจารณาจากการจ่ายเงินปันผลย้อนหลัง 3 ปี หรือ 5 ปี ประกอบกับอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) และอัตราเงินปันผลตอบแทนควรจะสูงกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งได้รวมกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นด้วย
ทั้งนี้ การเลือกลงทุนหุ้นปันผลนับได้ว่าเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการลงทุนที่เหมาะกับนักลงทุนระยะยาว และชอบความเสี่ยงไม่สูงนัก เนื่องจากเป็นหุ้นพื้นฐานและผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนมั่นใจได้ว่าจะได้รับเงินปันผลในอนาคตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่เลือกลงทุนในหุ้นปันผล อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้กลุ่มบุคคลเหล่านั้นต้องการผลตอบแทนที่สม่ำเสมอนั้นเอง