มุมมืดของปัญญาประดิษฐ์ที่เรียกกันว่า DeepFake

รองศาสตราจารย์ ดร.กัลยานี ภาคอัต

การก้าวล้ำของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็วทำให้เกิดเป็นดาบสองคม  ในมุมหนึ่งคือเป็นประโยชน์ต่อสังคมมนุษย์ทำให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ  แต่ในอีกมุมหนึ่งนับได้ว่าเป็นมุมมืดหรือเป็นภัยอันยิ่งใหญ่ของมวลมนุษย์ก็ว่าได้  โดยการใช้เทคโนโลยีในด้านลบหรือในทางที่ไม่สร้างสรรค์ต่อสังคม เช่น การสร้างข่าวสารอันเป็นเท็จ การตัดต่อรูป และการปลอมแปลงเสียงในการหลอกลวงประชาชน เป็นต้น  สิ่งเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็วพอกับการสร้างเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์  บทความนี้จะนำเสนอรายละเอียดของ DeepFake ที่เป็นมุมมืดที่เป็นภัยอันใกล้ตัว

คำว่า “DeepFake” เกิดขึ้นจากการผสมระหว่าง “Deep Learning” และ “Fake” มาเป็น “DeepFake” เป็นการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาช่วยในการสังเคราะห์เพื่อการปลอมแปลงลักษณะบุคคลโดยผ่านสื่อวิดีโอ ภาพถ่าย และการบันทึกเสียง  ซึ่งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่นำมาใช้คือ “การเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning)” หรืออาจจะอธิบายได้ว่าเป็นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ทีฝึกสอนให้เลียนแบบการทำงานของโครงข่ายประสาทของมนุษย์ (Neural Network)  จนทำให้ DeepFake มีความสามารถในการปลอมบุคคลได้อย่างแนบเนียน จนสร้างใบหน้าและเสียงของคนเหล่านั้นๆ ได้เสมือนคนจริง

ปัจจุบันภัยมืดของ DeepFake ได้แพร่ระบาดไปทั่วโลก  และจากการศึกษาข้อมูลในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า มูลค่าความเสียหายจากการใช้ปัญญาประดิษฐ์ที่เป็น DeepFake เพื่อใช้ในการหลอกลวงและการสร้างข่าวเท็จทำให้เกิดความเสียหายประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  สำหรับการหลอกลวงที่พบส่วนใหญ่มักจะเป็นการสร้างอัตลักษณ์เทียม (Synthetic Identities Fraud: SIF) โดยเฉพาะการหลอกลวงด้วยการสร้างใบหน้าและเสียงของผู้บริหารระดับสูงในการเข้าร่วมประชุมออนไลน์ เพื่อให้ตัดสินใจลงทุน หรือการเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่สำคัญสำหรับการทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ อาจกล่าวได้ว่าเทคโนโลยีเปรียบเสมือนดาบสองคม หากนำมาใช้อย่างสร้างสรรค์ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อสังคมส่วนรวม  ในทางตรงกันข้ามหากนำมาใช้ในการแสวงหาผลประโยชน์ในลักษณะมิจฉาชีพแล้ว ก็นับได้ว่าเป็นภัยมืดที่น่ากลัวมาก  ดังนั้น การออกกฏหมายที่รวดเร็วจะช่วยหยุดการก่ออาญชกรรมได้ และช่วยป้องกันคนดีมิให้ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านั้น