การจัดการตนเองเกี่ยวกับป่าชุมชนในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี
ป่าชุมชนในจังหวัดกาญจนบุรี มีการจัดการตนเองในด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย (1) หลักการประชาธิปไตยชุมชน (2) หลักการจัดการที่มีความยืดหยุ่น (3) หลักการทำงานแบบทันที (4) หลักการเชื่อมโยงกิจกรรมจากทุกภาคส่วน (5) หลักการแบ่งภาระหน้าที่ความรับผิดชอบ และ (6) หลักการใช้ทุนที่มีอยู่ในชุมชนเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความโดดเด่นในด้านหลักการเชื่อมโยงกิจกรรมจากทุกภาคส่วน มีการจัดการป่าชุมชนอย่างเป็นระบบ สร้างการมีส่วนร่วมจากหลายภาคส่วน ภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง นอกจากผู้นำในชุมชนแล้ว ชาวบ้านในชุมชนยังมีการรวมกลุ่มกันเพื่อเป็นแนวร่วมในการอนุรักษ์ป่าชุมชน พร้อมกันนั้นยังได้รับความร่วมมือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานของรัฐในพื้นที่ ศูนย์ป่าไม้กาญจนบุรี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (SCG) กองทุนเพื่อการลงทุนทางสังคม (SIF) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) ตลอดจนชุมชนอื่นใกล้เคียงร่วมกันทำกิจกรรมอนุรักษ์ป่าชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ Community Organizations Development Institute (2011, pp.7) อธิบายไว้ว่า การจัดการตนเองได้ สิ่งสำคัญส่วนหนึ่ง คือ มีองค์กรชุมชนที่หลากหลายเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการ โดยมีชุมชนเป็นแกนหลัก และสอดคล้องกับแนวคิดของ Wheatley (1999, pp.133-134) ที่กล่าวว่า การดำเนินงานร่วมกัน ทุกคนในชุมชนมีค่านิยม ความเชื่อ ทัศนคติ และเอกลักษณ์ร่วมกัน ทำให้สามารถกำหนดแนวทางการจัดการตนเองได้
ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการตนเองเกี่ยวกับป่าชุมชนในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี
ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการตนเองเกี่ยวกับป่าชุมชนในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีที่สำคัญ ได้แก่ งบประมาณ บุคลากรภาครัฐ และวัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ มีไม่เพียงพอในการดำเนินกิจกรรมในป่าชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดและทฤษฎีของ Dale (1968, pp.4) ที่ให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ เช่น วัสดุและอุปกรณ์ต้องมีความพร้อมจึงจะนำไปสู่การบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
ทัศนะของคณะผู้วิจัยเห็นว่า การไม่มีทรัพยากรต่าง ๆ ที่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ไม่เพียงพอและไม่ทันสมัย เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติงานแบบทันที เนื่องจากพื้นที่ป่ามีจำนวนมาก แต่จำนวนผู้ดูแลป่ามีจำนวนน้อยดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ฉะนั้น เทคโนโลยีจึงเป็นเครื่องมือที่สนับสนุนให้การปฏิบัติงานสะดวก รวดเร็วมากยิ่งขึ้น เช่น หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนให้การสนับสนุนอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้แก่ เครื่องจีพีเอส กล้องดิจิทัล และวิทยุสื่อสาร รวมถึงกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชควรจัดอบรมให้คนในชุมชนได้รู้จักและนำระบบลาดตระเวนเชิงคุณภาพ (SMART Patrol System) มาประยุกต์ใช้ เพื่อส่งผลให้ปัจจัยคุกคามในพื้นที่ป่าชุมชนบ้านยางโทนและป่าชุมชนบ้านห้วยสะพานสามัคคีลดลง รวมทั้งขยายผลไปยังป่าชุมชนแหล่งอื่น ๆ ในอนาคตด้วย
แนวทางการพัฒนาการจัดการตนเองเกี่ยวกับป่าชุมชนในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี
แนวทางการพัฒนาการจัดการตนเองเกี่ยวกับป่าชุมชนในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีที่สำคัญ คือ หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนควรสนับสนุนทรัพยากรต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานในป่าชุมชน เพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ Koontz and O’Donnell (1972, pp.43) ที่ได้กล่าวไว้ว่า การดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ต้องอาศัยปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคน เงิน วัสดุสิ่งของ เพื่อเป็นเครื่องมือสนับสนุนในการจัดการ และเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแนวคิดของ OECD (1991, pp.11) ที่ส่วนหนึ่งได้ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการจัดการ เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว คล่องตัว ทันสมัย และตอบสนองความต้องการ
ทัศนะในเชิงปรากฏการณ์ทางสังคมไทยและแนวโน้มในอนาคต สะท้อนให้เห็นว่า นวัตกรรม เทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนชุมชน สังคม องค์การ ช่วยสนับสนุนให้การจัดการมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เกิดความรวดเร็ว คล่องตัว ฉะนั้น การดำเนินงานเกี่ยวกับป่าชุมชนภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน ควรร่วมมือกันนำเทคโนโลยีเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ ในขณะเดียวกันยังช่วยส่งเสริมให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องได้พัฒนาทักษะความสามารถ เกิดการสานต่อและเรียนรู้การทำงานร่วมกันระหว่างผู้นำและสมาชิกรุ่นปัจจุบันกับรุ่นหลังให้มีความใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งทิศทางข้างต้นสอดรับกับแนวคิดและทฤษฎี Governance ที่ให้ความสำคัญกับปฏิสัมพันธ์ของทั้งภาครัฐ ภาคสังคม และภาคเอกชน โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาของสังคมร่วมกัน (Kooiman, 2003, pp.4)
ที่มา: ชมภูนุช หุ่นนาค พลัฐวัษ วงษ์พิริยชัย และจุมพล หนิมพานิช. (2566). การจัดการตนเองของชุมชน: ศึกษากรณีป่าชุมชนในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี. วารสารผู้ตรวจการแผ่นดิน. 16(2), (กรกฎาคม-ธันวาคม 2566), 199-231.