นโยบายสาธารณะภาคการเกษตรของต่างประเทศ

Agricultural Public Policies in Foreign Countries”

ในหลายประเทศมีการกำหนดนโยบายสาธารณะภาคการเกษตรไว้หลากหลายแนวทาง ซึ่งในบทความวิชาการฉบับนี้ได้ยกตัวอย่าง 3 ประเทศที่น่าสนใจ ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศมาเลเซีย และประเทศไต้หวัน เนื่องจากทั้งสามประเทศมีนโยบายเกษตรที่เน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มผลิตภาพ ให้ความสำคัญกับการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ผ่านการแปรรูปและการตลาดเชิงรุก รวมถึงการให้อำนาจชุมชนในการจัดการด้านการเกษตร โดยมีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยแตกต่างกันตามบริบทของแต่ละประเทศ มีนโยบาย ดังนี้

          1. ประเทศญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในประเทศที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน มาตรการและนโยบายต่าง ๆ จึงเน้นการสร้างสมดุลระหว่างการผลิตอาหาร การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และการส่งเสริมเศรษฐกิจชนบท ตัวอย่างมาตรการหลัก ได้แก่ (1) นโยบาย Basic Plan for Food, Agriculture and Rural Areas มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มปริมาณอาหารให้พอเพียงต่อความต้องการของคนในชาติ ส่งเสริมความยั่งยืนของระบบเกษตร และสนับสนุนความร่วมมือระหว่างเกษตรกรและชุมชน เช่น การส่งเสริมการผลิตข้าวโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การใช้โดรนเพื่อควบคุมศัตรูพืช และการใช้ AI ในการคาดการณ์สภาพอากาศ เพื่อช่วยเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุน (Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries, 2020, p. 12) (2) โครงการส่งเสริมการเกษตรอัจฉริยะ (Smart Agriculture) ประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้นำในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในภาคการเกษตร เช่น โครงการที่สนับสนุนการใช้หุ่นยนต์เกษตรในไร่นา การวิเคราะห์ข้อมูลดินและพืชและการใช้เซนเซอร์ในการวิเคราะห์สภาพน้ำและอากาศ (Yamaguchi & Yamamoto, 2018, p. 45) (3) มาตรการสนับสนุนการเกษตรอินทรีย์ (Organic Agriculture Promotion) เน้นการลดการใช้สารเคมีในกระบวนการเกษตร โดยมีโครงการสนับสนุนให้เกษตรกรเปลี่ยนไปสู่การผลิตเกษตรอินทรีย์ เช่น การให้เงินอุดหนุนและการฝึกอบรมด้านเทคนิคการปลูกพืชแบบปลอดสารพิษ (Tanaka, 2021, p. 24) และ (4) นโยบายที่ให้อำนาจชุมชนในการจัดการด้านการเกษตร เช่น การจัดการประมงโดยชุมชน มีการปฏิรูปการทำประมงโดยออกเป็นกฎหมายประมงฉบับใหม่ พ.ศ. 2492 ด้วยแนวคิดการจัดการประมงบนพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย เน้นประสิทธิภาพในการทำประมงและการใช้ทรัพยากรประมงให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีการจัดการประมงที่ใช้ควบคู่กันคือ กฎหมายประมง พ.ศ. 2492 และกฎหมายสหกรณ์ประมง พ.ศ. 2491 ซึ่งเป็นการให้สิทธิการจัดการประมงโดยชุมชน (Community Based Fishery Management) เรียกได้ว่า รัฐบาลญี่ปุ่นกระจายอำนาจในการจัดการประมงไปยังท้องถิ่นและสหกรณ์ประมงอย่างสมบูรณ์ ทำให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการกำหนดมาตรการการจัดการและร่วมรับผิดชอบทั้งในการใช้และรักษาทรัพยากรประมงของชุมชน ประกอบกับช่วยเสริมสร้างให้ชาวประมงญี่ปุ่นมีวินัย มีความรับผิดชอบสูง และเคารพในสิทธิของผู้อื่นอย่างเคร่งครัด (บุษบง ชัยเจริญวัฒนะ, บุญมี ลี้ และเทพกร ณ. สงขลา, 2545, หน้า 141-145)

          2. ประเทศมาเลเซีย เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจการเกษตรเป็นหนึ่งในฐานรากสำคัญ โดยรัฐบาลมาเลเซียได้พัฒนามาตรการและนโยบาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความยั่งยืนในภาคการเกษตร รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจชนบท ตัวอย่างมาตรการหลัก ได้แก่ (1) นโยบาย National Agrofood Policy (NAP) 2.0 (2021-2030) โดยจัดทำแผนแม่บทสำหรับการพัฒนาภาคการเกษตรของมาเลเซียโดยเฉพาะ เน้นส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร เช่น การสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยด้วยเงินอุดหนุนและเครื่องมือทางเทคโนโลยี เช่น ระบบ Internet of Things (IoT) สำหรับการตรวจสอบการเติบโตของพืชและการใช้ปุ๋ยอย่างแม่นยำ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหารของประเทศ (Shamsudin & Mohamed, 2022, p. 18) (2) โครงการการปลูกปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืน (Sustainable Palm Oil Program) เนื่องจากปาล์มน้ำมันเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของมาเลเซีย รัฐบาลจึงริเริ่มโครงการส่งเสริมการผลิตปาล์มน้ำมันอย่างมีมาตรฐานและยั่งยืน Malaysian Sustainable Palm Oil (MSPO) ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบการรายย่อยในการปรับเปลี่ยนวิธีการปลูกที่ลดการใช้สารเคมี โดยสามารถเพิ่มผลผลิตได้ถึงร้อยละ 15 สามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก (Razak et al., 2020, pp. 37-38) (3) โครงการการพัฒนาการเกษตรอัจฉริยะ รัฐบาลมาเลเซียได้สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในภาคการเกษตร เช่น การใช้โดรน เซนเซอร์ และ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยเฉพาะในพื้นที่การปลูกข้าวและผลไม้ เช่น พื้นที่เขตเกษตรกรรม Kedah ได้มีการติดตั้งระบบเซนเซอร์ในไร่นาเพื่อวัดความชื้นในดินและการจัดการน้ำแบบแม่นยำ ส่งผลให้ลดการใช้น้ำได้ถึงร้อยละ 40 และเพิ่มผลผลิตข้าวร้อยละ 25 (Ibrahim & Ahmad, 2021, pp. 12-13) และ (4) มาตรการส่งเสริมการเกษตรแบบยั่งยืน รัฐบาลมาเลเซียได้จัดทำมาตรการเพื่อสนับสนุนการปลูกพืชที่ใช้ทรัพยากรน้อยแต่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น การปลูกพืชไร้ดิน (Hydroponics) เช่น โครงการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ในพื้นที่เมืองใหญ่ เช่น กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งช่วยลดปัญหาการขาดแคลนพื้นที่การเกษตรและสร้างงานให้คนในพื้นที่ได้กว่า 3,000 ตำแหน่งในปี 2021 และการเลี้ยงสัตว์ในระบบปิด เป็นต้น (Mahadi, 2019, p. 56)

          3. ประเทศไต้หวัน เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาคการเกษตรผ่านการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง สนับสนุนเกษตรกรรายย่อยให้สามารถทำการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล รวมถึงการส่งเสริมการเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างมาตรการหลัก ได้แก่ (1) นโยบาย Smart Agriculture Development Program (SADP) มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในภาคการเกษตร วิเคราะห์สภาพดินและน้ำ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกร (Cheng & Huang, 2021, p. 44) (2) โครงการ Organic Agriculture Promotion Program (OAPP) รัฐบาลไต้หวันได้ผลักดันโครงการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์เพื่อเพิ่มพื้นที่การเกษตรปลอดสารเคมี และส่งเสริมสุขภาพของผู้บริโภค (Lin, 2020, p. 18) (3) มาตรการ Agricultural Transformation and Export Promotion โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและส่งเสริมการส่งออกสินค้าคุณภาพสูง เช่น การส่งออกชาอู่หลงไปยังตลาดยุโรปและอเมริกา การส่งออกอาหารทะเล และผลไม้เขตร้อน (Wang & Lee, 2019, p. 32) และ (4) โครงการ Young Farmers Promotion Program รัฐบาลไต้หวันได้จัดทำโครงการสนับสนุนเงินทุน การฝึกอบรม และการให้คำปรึกษาแก่เกษตรกรรุ่นใหม่ การให้เทคนิคการทำการเกษตรแบบยั่งยืน เพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่เข้าสู่ภาคการเกษตรมากขึ้น (Hsu, 2021, p. 11)

          จากการกำหนดนโยบายสาธารณะภาคการเกษตรของต่างประเทศข้างต้น สรุปได้ว่า ทั้งสามประเทศ ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศมาเลเซีย และประเทศไต้หวันต่างให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความยากจนในภาคเกษตรกรรม โดยมุ่งเน้นไปในทิศทางเดียวกัน คือ การส่งเสริมความยั่งยืนของระบบเกษตร และสนับสนุนความร่วมมือระหว่างเกษตรกรและชุมชน การส่งเสริมการเกษตรอัจฉริยะ การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในภาคการเกษตร การสนับสนุนการทำเกษตรอินทรีย์ มาตรการส่งเสริมการเกษตรแบบยั่งยืน และที่โดดเด่นคือ ประเทศญี่ปุ่นมุ่งเน้นการกระจายอำนาจในการจัดการประมงไปยังท้องถิ่นและสหกรณ์ประมงอย่างสมบูรณ์ ทำให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการกำหนดมาตรการการจัดการและร่วมรับผิดชอบทั้งในการใช้และรักษาทรัพยากรประมงของชุมชน โดยแนวทางการกำหนดนโยบายสาธารณะภาคการเกษตรของต่างประเทศข้างต้น สอดคล้องกับแนวคิดและทฤษฎีของ Ostrom (1990) ที่ได้อธิบายไว้ว่า การกำหนดนโยบายสาธารณะให้ประสบความสำเร็จได้นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มต้องเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการกำหนดนโยบายและกฎระเบียบ เพื่อสร้างความไว้วางใจและความรับผิดชอบร่วมกัน

ชมภูนุช หุ่นนาค. (2568). การกำหนดนโยบายสาธารณะภาคการเกษตร. วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการ. 13(2) (พฤษภาคม-สิงหาคม 2568), 227-240. (TCI 2) ISSN 3057-1758 (ONLINE)

https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/276552