การปฏิรูประบบราชการในต่างประเทศ

การปฏิรูประบบราชการในต่างประเทศ ผู้เขียนขอยกตัวอย่าง 2 ประเทศที่มีการปฏิรูประบบราชการตามทฤษฎีการจัดการภาครัฐแนวใหม่อย่างโดดเด่น ได้แก่ ประเทศสิงคโปร์และประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีรายละเอียด ดังนี้

ประเทศสิงคโปร์ ได้ประยุกต์ใช้ทฤษฎีการจัดการภาครัฐแนวใหม่ในการปรับปรุงประสิทธิภาพและผลลัพธ์ของการดำเนินงานของภาครัฐ การปฏิรูปดังกล่าวเน้นการผสมผสานแนวคิดของเอกชนเข้ากับการบริหารราชการในหลากหลายประเด็น ได้แก่

1. การสร้างระบบที่เน้นผลลัพธ์ (Outcome-based Management) เน้นการวัดผลลัพธ์ของการดำเนินงานในทุกระดับ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Economic Development Board (EDB) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และสร้างงานที่มีมูลค่าสูง หน่วยงานนี้ใช้ตัวชี้วัด เช่น จำนวนบริษัทต่างชาติที่ตั้งสำนักงานในสิงคโปร์ และจำนวนการจ้างงานในภาคส่วนเทคโนโลยีขั้นสูง (Quah, 2010, p. 58)นอกจากนั้นการวัดผลลัพธ์ยังขยายไปสู่ภาคการศึกษา เช่น กระทรวงศึกษาธิการกำหนดเป้าหมายให้นักเรียนมีความสามารถในด้าน STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์) โดยติดตามผลการเรียนของนักเรียนผ่านการสอบระดับชาติและการประเมินตามมาตรฐานนานาชาติ เช่น PISA (Programme for International Student Assessment)

2. การสร้างความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของประชาชนรัฐบาลสิงคโปร์ดำเนินการป้องกันการทุจริตอย่างจริงจังผ่านหน่วยงาน Corrupt Practices Investigation Bureau (CPIB) หน่วยงานนี้มีอำนาจในการตรวจสอบข้าราชการทุกระดับ และดำเนินคดีต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยไม่คำนึงถึงตำแหน่งและอำนาจของคนนั้น รวมถึงรัฐบาลเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเสนอแนะนโยบาย เช่น การเปิดแพลตฟอร์ม REACH (Reaching Everyone for Active Citizenry@Home) ซึ่งประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลได้โดยตรง (Quah, 2001, p. 38)

3. การพัฒนาทรัพยากรบุคคล รัฐบาลสิงคโปร์ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรในระบบราชการ โดยให้ความสำคัญกับความสามารถและศักยภาพเป็นหลัก เช่น การจัดตั้ง Public Service Leadership Programme (PSLP) ซึ่งช่วยสร้างผู้นำในระบบราชการ โดยเน้นการฝึกอบรมเชิงกลยุทธ์และความเข้าใจในประเด็นระดับโลก ส่งกลุ่มข้าราชการที่มีศักยภาพสูงเข้าไปฝึกอบรมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก เช่น Harvard และ INSEAD รวมถึงการมอบหมายงานที่มีความท้าทายสูงในหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างความรู้และประสบการณ์ (Lim, 2005, p. 82)

4. การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในระบบราชการมีการนำระบบวิเคราะห์ข้อมูล (Big Data) เพื่อจัดการกับปัญหาจราจรในเมือง โดยสิงคโปร์ติดตั้งเซ็นเซอร์และกล้องวงจรปิดทั่วเมืองเพื่อติดตามสภาพการจราจรแบบเรียลไทม์ และใช้ข้อมูลดังกล่าวในการปรับการจัดสรรพื้นที่จราจร เช่น การเพิ่มช่องทางพิเศษสำหรับรถสาธารณะในช่วงเวลาเร่งด่วน (Mahbubani, 2013, p. 104)

5. การบริหารจัดการทางการเงินที่มีประสิทธิภาพนำระบบการจัดการงบประมาณด้วยตนเองที่เรียกว่า “ระบบ Block Budgeting” มาใช้ เพื่อให้หน่วยงานมีอิสระในการจัดการงบประมาณมากยิ่งขึ้น เช่น กระทรวงสาธารณสุขใช้ระบบนี้ในการจัดการงบประมาณเพื่อพัฒนาระบบสาธารณสุข โดยสามารถจัดสรรทรัพยากรไปยังโรงพยาบาลและคลินิกที่มีความต้องการสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน มีการเริ่มกระบวนการปฏิรูประบบราชการตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980 ภายใต้การนำของเติ้ง เสี่ยวผิง ซึ่งมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงจากระบบราชการแบบดั้งเดิมที่รวมศูนย์อำนาจ ไปสู่ระบบที่มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นมากขึ้น แนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ถูกนำมาใช้ในบางส่วนของการปฏิรูป เช่น การเน้นผลลัพธ์ การใช้เทคโนโลยี และการบริหารงานที่คล้ายคลึงกับภาคเอกชน โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. การลดขนาดและปรับโครงสร้างองค์กรราชการมุ่งเน้นการลดขนาดหน่วยงานภาครัฐเพื่อลดภาระทางการเงินและสร้างระบบที่คล่องตัวมากขึ้น เช่น การยุบรวมกระทรวงเศรษฐกิจและกระทรวงพาณิชย์เป็นกระทรวงพาณิชย์เพื่อปรับลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในด้านการส่งเสริมการค้า และการแปรรูปหน่วยงานบางส่วนให้กลายเป็นรัฐวิสาหกิจ เช่น การโอนย้ายหน่วยงานในภาคอุตสาหกรรมและบริการไปยังภาคเอกชน ส่งผลให้หน่วยงานราชการสามารถมุ่งเน้นบทบาทที่เป็นภารกิจหลักได้มากขึ้น (Burns, 2003, p. 33)

2. การกระจายอำนาจรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนมอบอำนาจแก่รัฐบาลท้องถิ่นในการจัดการทรัพยากร งบประมาณ และนโยบายที่เหมาะสมกับพื้นที่ของตนเช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษเซินเจิ้น (Shenzhen Special Economic Zone) ได้รับอนุญาตให้ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบเปิดเสรี โดยมีการกำหนดอัตราภาษีต่ำและสร้างแรงจูงใจในการลงทุน ซึ่งช่วยดึงดูดบริษัทต่างชาติ เช่น Huawei และ Tencent ให้ตั้งสำนักงานใหญ่ในพื้นที่นี้ (Zhu, 2009, p. 65)

3. การนำระบบสัญญามาใช้ในแรงงานภาครัฐมีการนำระบบ “การจ้างงานด้วยสัญญา” มาแทนที่ “ระบบการจ้างงานแบบตลอดชีพ” หากข้าราชการไม่สามารถปฏิบัติงานได้ตามเป้าหมาย จะไม่ได้รับการต่อสัญญา เช่น เขตปกครองพิเศษเซี่ยงไฮ้มีการประเมินข้าราชการโดยใช้ระบบคะแนน (Performance Scoring System) เพื่อกำหนดความสำเร็จในงาน ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ข้าราชการมีความรับผิดชอบและสร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจน (Chan & Chow, 2007, p. 96)

4. การสร้างความโปร่งใสและการต่อต้านคอร์รัปชันรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนดำเนินมาตรการต่อต้านคอร์รัปชันอย่างเข้มงวดผ่านการตรวจสอบและการสร้างวัฒนธรรมความโปร่งใสในระบบราชการโดยจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะที่มีชื่อว่าCentral Commission for Discipline Inspection (CCDI) เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตของข้าราชการทุกระดับ และเปิดช่องทางออนไลน์ให้ประชาชนสามารถรายงานพฤติกรรมคอร์รัปชันผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ชื่อว่า Anti-Corruption Reporting System เพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของสังคมในการปราบปรามคอร์รัปชั่น (Pei, 2016, p. 72)

5. การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในระบบราชการมุ่งเน้นการพัฒนาระบบ e-Government เช่น นำระบบดิจิทัลมาใช้ตรวจสอบและเก็บภาษีแบบอัตโนมัติ หรือที่เรียกว่า “Golden Tax Project” เพื่อช่วยลดการทุจริตและเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาล และรัฐบาลท้องถิ่นในเมืองหางโจวใช้เทคโนโลยี Big Data เพื่อติดตามข้อมูลการจราจร อาชญากรรม และบริการสุขภาพแบบเรียลไทม์ ช่วยให้การตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นไปอย่างรวดเร็ว เป็นต้น (He, 2012, p. 118)

สรุปได้ว่า การปฏิรูประบบราชการของประเทศสิงคโปร์และประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนดังกล่าวข้างต้น เป็นการพัฒนาระบบราชการตามทฤษฎีการจัดการภาครัฐแนวใหม่ที่มุ่งเน้นไปในทิศทางเดียวกัน คือ ให้ความสำคัญกับการนำทฤษฎีการจัดการภาครัฐแนวใหม่มาประยุกต์ใช้ในการปฏิรูประบบราชการ โดยประเทศสิงคโปร์สร้างระบบที่เน้นผลลัพธ์ สร้างความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของประชาชน การพัฒนาทรัพยากรบุคคล การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในระบบราชการ และการบริหารจัดการทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ ส่วนประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเน้นการลดขนาดและปรับโครงสร้างองค์กรราชการ การกระจายอำนาจ การนำระบบสัญญามาใช้ในแรงงานภาครัฐ การสร้างความโปร่งใสและการต่อต้านคอร์รัปชัน และการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในระบบราชการ

ที่มา: ชมภูนุช หุ่นนาค. (2568). แนวทางการพัฒนาระบบราชการในประเทศไทยตามทฤษฎีการจัดการภาครัฐแนวใหม่. วารสารนวัตกรรมธุรกิจ การจัดการ และสังคมศาสตร์. 6(1) (มกราคม-เมษายน 2568), 72-86.

https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jibim/article/view/285313