จริยธรรมในการเผยแพร่ผลงานวิชาการ: ประเด็นสำคัญที่นักวิชาการต้องรู้

การเผยแพร่ผลงานวิชาการเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างองค์ความรู้และการพัฒนาสังคม แต่ในยุคปัจจุบัน เราพบว่าปัญหาการขาดจริยธรรมในการตีพิมพ์กลายเป็นประเด็นระดับโลกที่ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความน่าเชื่อถือของงานวิจัยและชุมชนวิชาการ

เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้มีโอกาสรับฟังการบรรยายและได้รวบรวมประเด็นสำคัญเกี่ยวกับจริยธรรมในการเผยแพร่ผลงานวิชาการ ซึ่งครอบคลุมทั้งแนวปฏิบัติของไทยและมาตรฐานสากล จึงอยากแบ่งปันความรู้ที่ได้

ฐานข้อมูลวารสารและการประเมินคุณภาพ

ก่อนที่เราจะพูดถึงจริยธรรม เราต้องเข้าใจระบบการประเมินวารสารก่อน ในประเทศไทย เรามี Thai Citation Index (TCI) ซึ่งแบ่งเป็น TCI กลุ่มที่ 1 และ TCI กลุ่มที่ 2 โดยมีการปรับปรุงเกณฑ์อย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับให้เข้าสู่มาตรฐานสากล

สำหรับระดับสากล Scopus เป็นฐานข้อมูลที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก เมื่อวารสารไทยเข้าสู่ Scopus ถือเป็นการยกระดับผลงานวิชาการของเราสู่เวทีโลก สิ่งที่น่าสนใจคือ Citation Score มีความสำคัญมากกว่า Impact Factor เพราะแสดงถึงการที่วารสารในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาตีพิมพ์บทความกี่บทความและถูกอ้างอิงกี่ครั้ง ซึ่งสะท้อนถึงการเผยแพร่และการยอมรับอย่างแท้จริง

ก่อนที่วารสารจะเข้าสู่ Scopus จะมีการอบรมเกี่ยวกับ Publication Misconduct โดยอ้างอิงหลักเกณฑ์ของ Committee on Publication Ethics (COPE) ปี 2018 เพื่อให้บรรณาธิการเข้าใจและรักษาจริยธรรมในการตีพิมพ์ ซึ่งจริงๆ แล้วมีแผนจัดทำหลักสูตรอบรมสำหรับบรรณาธิการในประเทศไทยด้วย เพราะในอดีตเราพบการกระทำผิดพลาดบ่อยครั้ง โดยเฉพาะเรื่องการรีแทคบทความ

การประพฤติมิชอบในการตีพิมพ์: ปัญหาระดับโลก

Publication Misconduct เป็นเรื่องที่ถือเป็น “Global Concern” และเป็น “unethical practice” ที่มีหลายรูปแบบ ขอให้เราไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง

การลอกเลียน (Plagiarism) เป็นปัญหาที่พบมากที่สุด หมายถึงการ “ไปขโมยปัญญาของเขา” ซึ่งรวมถึงการลอกเลียนงานของตนเองด้วย (self-plagiarism) โดยที่ไม่อ้างอิงและทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นผลงานใหม่ หลักปฏิบัติที่ถูกต้องคือ “ไม่ควรเอาคำเหมือนกับมาเขียน” แต่ “ต้องอ่านแล้วก็ให้ย่อย เขียนตามที่ตัวเองเข้าใจแล้วก็อ้าง” ห้ามคัดลอกประโยค ย่อหน้า รูปภาพ ตาราง หรือข้อมูลโดยตรงโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงและไม่อ้างอิงแหล่งที่มา

การตีพิมพ์ซ้ำซ้อน (Redundant/Duplicate Publication) คือการ “เอาผลงานเราไปตีพิมพ์ซ้ำกัน บางทีก็ซ้ำกัน 2 วารสาร” ซึ่งห้ามส่งบทความวิจัยเดียวกันไปยังวารสารมากกว่าหนึ่งฉบับพร้อมกัน

การไม่เปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อน โดยเฉพาะในวงการแพทย์ที่อาจเกี่ยวข้องกับบริษัทยาและทุนสนับสนุน ตามที่ระบุไว้ว่า “แหล่งทุน ต้องดูนะ ถ้าบริษัท ยาอะไรอย่างนี้ เขาก็กลัวนะว่าจะ bias”

การระบุชื่อผู้แต่งไม่เหมาะสม มีหลายรูปแบบ เช่น Ghost Author (ผู้ที่ทำงานแต่ไม่มีชื่อ), Gift Author (การให้ชื่อเป็นของขวัญ), Guest Author/Seniority Author (การนำชื่อผู้มีชื่อเสียงมาใส่เพื่อให้ตีพิมพ์ได้), และ Fake Author (การแต่งชื่อปลอม) สิ่งสำคัญคือ “ไม่ให้ด้วยความเสน่หา ให้เพราะว่าเป็นหัวหน้า เผื่อว่าเขาจะเลื่อนเงินเดือนให้เรา ไม่ได้ ผิดจริยธรรมทั้งคู่” เราจะ “provide authorship only to those who have made us contribution เท่านั้น”

การซอยย่อยตีพิมพ์ (Salami Slicing) คือการ “ซอยย่อยตีพิมพ์ เพื่อจะให้ได้หลายๆ [เรื่อง] ตาม requirement” ซึ่งเป็น “unethical” เพราะ “ไป distort database ของงานวิจัยที่ถูกใส่ไว้ในฐานข้อมูลของโลก” ทำให้เกิดความเข้าใจผิด แต่อนุญาตให้ทำได้หากเป็น “big data” ที่สามารถสร้าง “research question” และ “outcome” ที่แตกต่างกันได้

การสร้างและบิดเบือนข้อมูล รวมถึงการ Fabrication (การ “make up ข้อมูลขึ้นมา”), การ Falsification (การ “manipulate data นิดๆ หน่อยๆ ให้เป็นไปตามสมมติฐานที่เราตั้งไว้”), และการไม่รายงานผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์

การเผยแพร่ข้อมูลก่อนเวลาอันควร คือการนำเสนอ “งานวิจัยยังไม่ได้ถูกตรวจสอบ ยังไม่ได้ตีพิมพ์ ควรจะตีพิมพ์ซะก่อน”

จริยธรรมในการวิจัยในมนุษย์และสัตว์

การทำวิจัยในคนและสัตว์มีกระดูกสันหลังต้องปกป้องสิทธิของผู้เข้าร่วมวิจัย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ป่วย นักโทษ เด็ก หรือผู้สูงอายุ

ต้องมีการขอความยินยอม (Informed Consent) โดยอธิบายวัตถุประสงค์ ประโยชน์ และโทษของการวิจัยให้เข้าใจและลงนามยินยอม สำหรับกลุ่มเปราะบาง ต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองหรือผู้ดูแล

สิ่งสำคัญคือต้องได้รับอนุมัติจาก IRB (Institute Review Board) ก่อนเก็บข้อมูล ห้ามเก็บข้อมูลก่อนได้รับอนุมัติหรือเมื่อใบอนุญาตหมดอายุ การเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ร่วมวิจัยต้องแจ้ง IRB ด้วย

มีการยกเว้นสำหรับงานวิจัยบางประเภทที่ไม่ก่อให้เกิดอันตราย เช่น การทำแบบสอบถามออนไลน์ที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ แต่ต้องเป็นไปตามประกาศของมหาวิทยาลัย

เกณฑ์การเป็นผู้ประพันธ์

การเป็นผู้ประพันธ์ต้องอ้างอิง International Standard (เช่น CRediT taxonomy) และเกณฑ์ของ กพอ. โดยผู้ประพันธ์ต้องมีส่วนร่วมทางปัญญาอย่างมีนัยสำคัญในการคิดปัญหาวิจัย ตั้งวัตถุประสงค์ ออกแบบการวิจัย การได้มาซึ่งข้อมูล การวิเคราะห์และแปลผล การร่างบทความและให้คำแนะนำทางวิชาการ การอนุมัติฉบับสุดท้าย และรับผิดชอบต่อผลงาน

ต้องรายงานข้อมูลจริง เป็นผลงานต้นฉบับ เปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อน และ “ห้ามไป submit 2 journal พร้อมๆ กันเด็ดขาด”

First Author/PI เป็นผู้ริเริ่มและรับผิดชอบหลัก Corresponding Author เป็น “main contact กับ editor” และ “เป็นที่ยอมรับของศาสตร์ในสาขานั้น” Essential Intellectual Contributor เป็น “ผู้มีส่วนสำคัญทางปัญญา” แต่เกณฑ์นี้กำลังจะมีปัญหาเนื่องจากไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล

การใช้ AI ในงานวิชาการ

ในยุคปัจจุบัน AI สามารถช่วยในการปรับปรุงภาษา (improve language) และรีวิววรรณกรรมได้ดี แต่ควรระบุการใช้ AI ว่า “ใน paper จะต้องเขียนเลยว่าเราใช้ AI ช่วยเราตรงไหน”

ข้อควรระวังคือการใช้ AI มากเกินไปอาจทำลายความเป็น Originality และ Critical Thinking ของผลงาน เพราะ AI จะรวบรวมข้อมูลเก่าที่มีอยู่แล้วมาผสมผสาน ไม่ได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่

ผลกระทบจากการกระทำผิดจริยธรรม

เมื่อเกิดการกระทำผิดจริยธรรม ผลกระทบจะขยายวงกว้างตั้งแต่ผู้กระทำไปจนถึงระดับประเทศ

ผู้เขียนจะสูญเสียโอกาสในการเลื่อนตำแหน่ง/เรียนจบ เสียค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ และเสียชื่อเสียง หน่วยงานต้นสังกัดเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและเพิกถอนตำแหน่ง เจ้าของวารสารเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีและสูญเสียรายได้ TCI/องค์กรผู้ให้ทุนเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ

ที่สำคัญที่สุดคือ สังคมและประเทศชาติจะ “เสียชื่อเสียง ภาพลักษณ์ และความน่าเชื่อถือของประเทศในระดับสากล” คุณภาพวารสารวิชาการไทยไม่ได้มาตรฐาน สูญเสียอันดับความสามารถในการแข่งขัน และสูญเสียโอกาสในการพัฒนาบุคลากรและงานวิชาการของประเทศ

Paper Retraction และบทลงโทษ

Paper Retraction คือ “กระบวนการยกเลิกบทความวิชาการที่ได้รับการตีพิมพ์แล้ว โดยอาจเกิดจากข้อผิดพลาดโดยสุจริต หรือการกระทำทุจริต เช่น การปลอมแปลงข้อมูล” บทความที่ถูกถอดถอนจะมีการแจ้งเตือนในบทความต้นฉบับและฐานข้อมูลทั่วโลก ชื่อผู้กระทำผิดจะถูกบันทึก ทำให้ยากต่อการตีพิมพ์ผลงานในอนาคต

ตามประกาศ กพอ. กรณีตรวจสอบพบการกระทำผิดจริยธรรม จะถูก “งดการพิจารณาการขอตำแหน่งทางวิชาการในครั้งนั้น และห้ามกระทำผิดนั้นเสนอขอตำแหน่งทางวิชาการ มีกำหนดไม่น้อยกว่า 5 ปี แต่ไม่เกิน 10 ปี”

ข้อคิดสำหรับนักวิชาการ

ผู้บรรยายเน้นย้ำถึงความสำคัญของการ “self-control” หรือการควบคุมตนเองตั้งแต่ต้นในการสร้างสรรค์ผลงานวิชาการที่มีคุณภาพ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการกระทำผิดจริยธรรม

การรักษาจริยธรรมในการเผยแพร่ผลงานวิชาการไม่ใช่เพียงแค่การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ แต่เป็นการสร้างวัฒนธรรมวิชาการที่ดีและรักษาความน่าเชื่อถือของชุมชนวิชาการ ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว

สำหรับนักวิชาการทุกคน ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หรือนักศึกษา การเข้าใจและปฏิบัติตามจริยธรรมเหล่านี้จึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่ต้องยึดมั่นตลอดเส้นทางการทำงานวิชาการ เพื่อให้งานวิชาการของเรามีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับในระดับสากลอย่างแท้จริง

หมายเหตุ: บทความนี้เรียบเรียงจากการเข้าร่วมฟังการบรรยายพิเศษ “จริยธรรมในการผลิตและเผยแพร์ผลงานทางวิชาการ” ของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช วันที่ 3 กันยายน 2567 โดยผู้เขียนอยู่ในฐานะผู้เข้าร่วมฟังการบรรยาย