นโยบายจำนำยุ้งฉาง

ข้าวนับเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย ในปีหนึ่งประเทศไทยสามารถส่งออกข้าวได้เป็นจำนวนมาก คิดเป็นรายได้เข้าประเทศปีละไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 1 ใน 4 ส่วนมิติความมั่นคงทางอาหาร ข้าวเป็นอาหารหลักที่เลี้ยงคนทั้งในประเทศและต่างประเทศทั่วโลก เรียกได้ว่า เป็นทั้งธัญญาหาร และธัญโอสถของชีวิต ประกอบกับมีความหลากหลายของพันธุ์ข้าว สามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จำนวนมาก ในอีกด้านหนึ่ง ข้าวมีความสำคัญในมิติทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิต กล่าวคือ เป็นบ่อเกิดประเพณี วัฒนธรรม และวิถีชีวิต รวมถึงภูมิปัญญาพื้นบ้านอันทรงคุณค่า ซึ่งในประเทศไทยมีเกษตรกรที่ปลูกข้าวถึง 3.7 ล้านครัวเรือน และเมื่อย้อนกลับไปอดีตจะเห็นได้ว่า คนไทยประกอบอาชีพทำนาปลูกข้าวมาอย่างยาวนาน รากเหง้าความเป็นไทย ล้วนเกี่ยวข้องกับวิถีการเกษตรทั้งสิ้น (มูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์, http://www.thairice. org/doc_dl/convention-2559-policy-2.pdf, 5 ตุลาคม 2561)

ประเทศไทยส่งออกข้าวเป็นลำดับ 2 โดยการส่งออกปี 2559/60 จำนวน 10 ล้านตัน ปี 2560/61 จำนวน 10.5 ล้านตัน และปี 2561/62 จำนวน 11 ล้านตัน เป็นรองเพียงประเทศอินเดียที่ส่งออกข้าวเป็นอันดับ 1 โดยการส่งออกปี 2559/60 จำนวน 10 ล้านตัน ปี 2560/61 จำนวน 13.2 ล้านตัน และปี 2561/62 จำนวน 13 ล้านตัน ถึงแม้ไทยจะผลิตข้าวได้น้อยกว่าหลาย ๆ ประเทศก็ตาม เนื่องจากจำนวนประชากรในประเทศและความต้องการบริโภคข้าวน้อยกว่าประเทศนั้น ๆ

ถึงแม้ว่าข้าวและอาชีพชาวนาจะมีความสำคัญอย่างยิ่ง มีการผลิตและการส่งออกข้าวเป็นลำดับต้น ๆ ของโลกก็ตาม แต่ในมุมกลับกัน พบว่า อาชีพชาวนาเป็นกลุ่มคนที่ยากจน ขาดแคลน มีภาระหนี้สิน และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่สุขสบายมากนัก (ชมภูนุช หุ่นนาค, 2560, หน้า 2) ซึ่งปัญหาสำคัญส่วนหนึ่งที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตชาวนา คือ การตลาด ทั้งนี้ภาครัฐมีนโยบายเกี่ยวกับการสนับสนุนผลิตผลทางการเกษตรมาโดยตลอดทุกยุคทุกสมัย ขึ้นอยู่กับช่วงระยะเวลานั้นจะมีมาตรการในลักษณะใด เช่น สมัยรัฐบาลของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คงไม่มีผู้ใดที่ไม่รู้จัก “โครงการรับจำนำข้าวเปลือก” เนื่องจากนโยบายช่วยเหลือชาวนาด้วยการแทรกแซงราคาข้าวดังกล่าว เสมือนให้รัฐบาลทำหน้าที่เป็นพ่อค้าข้าว ซึ่งรัฐไม่ชำนาญในเรื่องนี้เหมือนกับเอกชน และการตั้งราคารับจำนำสูงกว่าราคาตลาดนับเป็นแนวคิดที่ผิดจากหลักการรับจำนำทั่วไป ฉะนั้น จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การที่รัฐเป็นผู้ค้าข้าว จัดการข้าวเองทั้งระบบ สร้างตลาด และดึงราคาข้าวให้สูงขึ้น นำมาซึ่งการขาดทุนมหาศาลของรัฐบาล รวมถึงมีการทุจริตคอรัปชั่นในทุกขั้นตอน ขณะเดียวกันหนทางดังกล่าวไม่ใช่หนทางในการช่วยเหลือชาวนาได้อย่างยั่งยืน ถึงแม้บางส่วนจะเชื่อว่า นโยบายนี้ทำให้ชาวนาได้รับประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนก็ตาม

จากผลการวิจัยเรื่อง “การคอรัปชั่น : กรณีศึกษาโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ด” โดย นิพนธ์   พัวพงศกร และคณะ (2557, บทคัดย่อ) พบว่า โครงการรับจำนำข้าวในช่วง 5 ฤดู มีการรับจำนำข้าวเปลือก 54.35 ล้านตัน มีค่าใช้จ่ายรวม 9.85 แสนล้าน เป็นเงินซื้อข้าว 8.57 แสนล้านบาท โครงการมีการขาดทุนทางการคลังสูงถึง 5.39 แสนล้านบาท หรือเกือบร้อยละ 53 ของค่าใช้จ่าย ภาระขาดทุนสูงขึ้นอีก เนื่องจากรัฐบาลต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5-10 ปี ในการระบายข้าวในสต๊อก 17.8 ล้านตัน แม้ว่าชาวนาทั่วประเทศจะได้รับประโยชน์ส่วนเกินสูงถึง 5.6 แสนล้านบาท แต่ผู้ได้รับประโยชน์ส่วนใหญ่เป็นชาวนาขนาดกลางและขนาดใหญ่ อีกทั้งก่อให้เกิดต้นทุนต่อสังคมที่สูงกว่าประโยชน์ของโครงการถึง 1.23 แสนล้านบาท ซึ่งยังไม่ได้นับรวมผลกระทบต่อคุณภาพข้าว การบิดเบือนตลาดข้าว ความสูญเปล่าทางเศรษฐกิจ และเปลี่ยนโครงสร้างการค้าข้าวจากเดิมที่มีการแข่งขันสูงไปสู่ระบบการค้าแบบเส้นสายพรรคพวก นอกจากนั้น มีมูลค่าการทุจริตรวม 1.02 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ 4.5 หมื่นล้านบาท การขายข้าวให้พักพวกที่เสนอซื้อในราคาที่ต่ำ 2.2 หมื่นล้านบาท การระบายข้าวราคาถูก 8.5 พันล้านบาท และการลักลอบนำข้าวในโครงการไปขายก่อน 2.7 หมื่นล้านบาท เป็นต้น

ส่วนโครงการสมัยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินโครงการเกี่ยวกับผลิตผลทางการเกษตรหลาย ๆ โครงการ ซึ่งโครงการหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง คือ โครงการจำนำ ยุ้งฉาง หรือโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี 2560/2561 มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2560 อนุมัติในหลักการโครงการนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อชะลอการขายข้าวเปลือกออกสู่ตลาด ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย ช่วยรักษาระดับราคาข้าวเปลือก และให้เกษตรกรขายข้าวเปลือกได้ในราคาสูงขึ้น สนับสนุน “เงินกู้” ให้กับ 1) เกษตรกร ไม่เกินรายละ 300,000 บาท 2) สหกรณ์การเกษตร ไม่เกินสหกรณ์ละ 300 ล้านบาท 3) กลุ่มเกษตรกร ไม่เกินกลุ่มละ 20 ล้านบาท และ 4) วิสาหกิจชุมชน ไม่เกินแห่งละ 5 ล้านบาท กำหนดให้สินเชื่อตามชนิดข้าว ได้แก่ 1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 10,800 บาท 2) ข้าวเปลือกเหนียว ตันละ 10,800 บาท  3) ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 7,200 บาท และ 4) ข้าวเปลือกปทุมธานี 1 ตันละ 8,500 บาท นอกจากนั้นได้กำหนดค่าเก็บรักษาคุณภาพข้าว จ่ายให้ผู้เข้าร่วมโครงการตันละ 1,500 บาท แบ่งเป็นจ่ายในวันเบิกรับเงินกู้ ตันละ 1,000 บาท และจ่ายวันที่ชำระหนี้หลังจากเข้าร่วมโครงการไม่น้อยกว่า 30 วัน ตันละ 500 บาท ระยะเวลาเข้าร่วมโครงการและจ่ายเงินกู้ ช่วงระยะเวลาทำสัญญา ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 – 28 กุมภาพันธ์ 2561 (ภาคใต้ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2561) ส่วนระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ ไม่เกิน 5 เดือน (กรมส่งเสริมสหกรณ์,  http://www.cpd.go.th/cpdth2560/index.php/component/k2/newscpd_project_to_slow_rice_2561_14oct2560, 5 ตุลาคม 2561)

ดังนั้น จากความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาข้างต้น ชี้ให้เห็นว่า ภาคการเกษตรโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวนาผู้ปลูกข้าวมีความสำคัญในหลากหลายมิติต่อประเทศไทย ตัวเลขการผลิตและการส่งออกข้าวเป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นว่า ข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจอันดับแรกของไทย และมีชื่อเสียงระดับโลก ถึงแม้ว่าเราจะไม่ใช่ประเทศที่ผลิตและส่งออกข้าวสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งก็ตาม อีกด้านหนึ่ง ตลาดข้าวไทยมีปัญหาเรื่องความไม่แน่นอนของราคาข้าว นโยบายเกี่ยวกับผลิตผลทางการเกษตรของไทยจึงยังมีความจำเป็นสูง ตราบใดที่ราคาข้าวยังมีความผันผวน ไม่แน่นอน มีช่วงที่ข้าวราคาต่ำมากจากหลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจโลก ความไม่แน่นอนของสภาพดินฟ้าอากาศ และความต้องการในการบริโภคทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงปริมาณการส่งออกข้าว เป็นต้น และรัฐยังคงเป็นกลไกหลักในการกำหนดมาตรการสนับสนุนภาคการเกษตร หรืออาจเรียกได้ว่า การแทรกแซง โดยรัฐยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากรัฐมีงบประมาณ อำนาจ บุคลากร และทรัพยากรในส่วนต่าง ๆ ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น แต่การเข้ามาแทรกแซงดังกล่าว ต้องสร้างความยั่งยืนให้กับชาวนา จนสุดท้ายชาวนาสามารถพึ่งพาตนเองได้ จากนั้น รัฐจะเป็นเพียงผู้ส่งเสริม สนับสนุนเท่านั้น ไม่ใช่ผู้ถือหางเสือเรือ กำกับ ควบคุมเหมือนดังที่เคยทำมาในทุกยุคทุกสมัย กล่าวคือ รัฐสามารถยกฐานะจากประชาชนมาเป็นพลเมืองที่ตื่นตัว ตื่นรู้ และลุกขึ้นมาจัดการกับปัญหาของตนเองได้ รวมถึงการดำเนินโครงการต้องไม่นำไปสู่การขาดทุนมหาศาล การทุจริตคอรัปชั่น ผลกระทบต่อคุณภาพข้าว การบิดเบือนตลาดข้าว ความสูญเปล่าทางเศรษฐกิจ และเปลี่ยนโครงสร้างการค้าข้าวจากเดิมที่มีการแข่งขันสูง ไปสู่ระบบการค้าแบบเส้นสายพรรคพวกดังที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ที่มา: Chompoonuch Hunnak. (2563). Evaluation of Loans for Deferral Sales Project of Major Paddy Rice in Crop Year 2017/2018: Project Management Perspectives. Parichart Journal. 33(3), (September- December 2020), pp. 132-150.